วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

[Novel_Hyouka] 3 - The Activities of the Prestigious Classics Club

Translator's Talk :
ฮ่าๆ! กลับมาแล้ววววววว หลังจากดองไว้นานเหลือเกิน
พรุ่งนี้เราสอบและมานั่งแปลนิยาย โอ้ คุณพระ.... 

------------------------------------------------------------------------------------------------------------


3 – กิจกรรมของชมรมวรรณกรรมคลาสสิกอันทรงเกียรติ

ตอนนี้ผมกำลังคิดเรื่อง  สิ่งที่ชมราวรรณกรรมทำนั้นคืออะไร?  เหล่านักเรียนที่รู้เรื่องนั้นก็ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนนี้แล้ว  และผมก็ไปรบกวนถามกับอาจารย์ในเรื่องนั้นไม่ได้ด้วย  ผมถามเรื่องนี้จากพี่สาวได้   แต่โชคร้ายที่ตอนนี้เธอไปอยู่เบรุต (เลบานอน) แล้ว  แม้ว่าจะไม่ค่อยมีชมรมที่ไม่รู้จุดประสงค์ในการตั้งขึ้น  แต่ก็มีพอสมควรที่ตั้งขึ้นมาอย่างลึกลับ  ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไร

หนึ่งเดือนแล้วที่ชมรมวรรณกรรมฟื้นกลับมาใหม่  ห้องชมรม  - ห้องธรณีวิทยา –  ไม่ได้เป็นฐานลับอีกต่อไป  ทว่ายังคงเป็นจุดพักผ่อนได้  เป็นสถานที่ที่ผมสามาถมาฆ่าเวลาเล่นได้ตอนกำลังเบื่อๆในโรงเรียน  ซาโตชิบางทีก็อยู่ด้วย  หรือเป็นจิตันดะอยู่ข้างใน  อาจจะทั้งคู่เลย  หรือไม่ก็ไม่มีใครอยู่  เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญหรอก  เราเลือกที่จะสนทนากันหรือเลือกที่จะอยู่เงียบๆได้  ซาโตชิเริ่มอยู่เงียบๆไม่พูดพูดไม่จาได้  ส่วนคุณหนูของของเรายังคงเป็นสุภาพสตรีที่สง่างามแบบที่เธอเป็น  ตราบเท่าที่ยังไม่มีอะไรมาทำให้เธออยากรู้น่ะนะ  เพราะฉะนั้นถ้าไม่ดูจุดประสงค์แท้จริง  ชมรมนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นชมรมสันทนาการมากกว่าชมรมของโรงเรียนอีก
ดังนั้นผมก็ไม่ต้องเบื่อหน่ายกับเจ้าพวกนี้  เนื่องจากผมไม่เคยหวั่นเกรงกับคนอื่นๆ  บางทีซาโตชิก็เข้าใจว่าแบบนั้นไป
วันนี้ฝนตกปรอยๆ  และผมนั่งอยู่กับจิตันดะ  ผมเอนหลังกับเก้าอี้ข้างหน้าต่างอ่านหนังสือปกอ่อนคุณภาพต่ำ  ขณะที่จิตันดะนั่งอ่านหนังสือเล่มหนาด้วยเหตุผลบางอย่างใกล้กับหน้าห้อง  ใครคนหนึ่งจะพูดว่านี่เป็นยามเย็นหลังเลิกเรียนที่แสนเอื่อยเฉื่อย
เหลือบดูนาฬิกา  ผมเห็นว่าเพิ่งผ่านไปแค่  30  นาทีเท่านั้น  เวลาที่ผ่านไปโดยไม่รู้ตัวยังคงสั้นอยู่ดี  ถึงแม้คุณจะบอกได้ว่าผมรู้สึกผ่อนคลาย  แต่ก็ไม่ถูกเสียทีเดียว  ถ้าจะพูดให้ถูกเพราะว่าผมรู้สึกกระสับกระส่ายและตึงเครียดที่จะมาผ่อนคลายแบบนี้  ผมแค่ตั้งใจจะทำให้การอนุรักษ์พลังงานของตัวเองยืดออกไปเท่าที่จะเป็นได้  ก็แค่นั้น
ความเงียบถูกทำลายลงด้วยเสียงพลิกกระดาษและหยาดฝนจากข้างนอก
“...”
ผมเริ่มง่วงแล้วนะ  ผมว่าผมจะกลับบ้านทันทีที่ฝนหยุดตก
ฟึ่บ  แว่วเสียงปิดหนังสือลง  เป็นจิตันดะที่นั่งอยู่ตรงข้ามผม  เธอถอนใจแล้วเอ่ยปากว่า
”เรื่อยเปื่อยจริงๆค่ะ”
ขณะที่พูดเธอไม่ได้มองมาที่ผม  เห็นได้ชัดว่าเธอพูดกับผมมากกว่าตัวเอง  แม้ผมไม่รู้ว่าจะตอบกลับไปอย่างไร  ยังไงผมจะพยายามถามเธอดู
“หือ?  ปลูกพืชในที่นาครอบครัวเธอเหรอ?”
“นั่นมันปลูกพืชสองครั้งค่ะ”  (เล่นคำ “barren” 不毛  กับ “dual crops” 二毛作 คนแปลเขาเลยเปลี่ยนให้มันเข้ากับภาษาอังกฤษ)
จิตันดะตอบและหันกลับมา
“ต้องทำครึ่งปีครั้ง  ทำให้แทบจะไม่ขาดแคลนผลผลิตน่ะค่ะ”
“คาดหวังไว้กับลูกชาวเกษตรกรเลยนะ”
“ไม่หรอกค่ะ  ไม่จำเป็นต้องชมฉันแบบนั้น....”
เสียงฝนไล่มาตามความเงียบ
“ไม่ใช่สิ  ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ”
“ก็เธอพูดว่า ‘เรื่อยเปื่อย’ ”
“ค่ะ  เรื่อยเปื่อย”
“อะไรล่ะ?”
จิตันดะจ้องผมอย่างหนักแน่นแล้วยกแขนขวาชี้ไปรอบห้อง
“หลังชั่วโมงเรียน  ดูแล้วเราไม่มีจุดประสงค์หรือทำอะไรเป็นรูปเป็นร่างเลยนะคะ”
แหงล่ะ  นี่ก็แค่การฆ่าเวลา  ไม่ต้องทำอะไร  ผมปิดหนังสือปกอ่อนและจ้องเธอกลับ
“อืม  ได้ยินแล้ว  แล้วเธอมีอะไรอยากทำในชมรมวรรณกรรมงั้นเหรอ?”
“ฉันเหรอคะ?”
มันเป็นคำถามที่มีความหมาย  เพราะว่าจำนวนไม่น้อยที่รู้ว่าตัวเองอยากทำอะไรเมื่อถูกถามอย่างตรงไปตรงมา  อีกอย่างผมก็รู้ว่าอย่างน้อยตัวผมเองไม่ได้ต้องการอะไรเลย
แต่จิตันดะตอบโดยไม่ลังเลว่า
“ค่ะ”
“หืม”
น่าประหลาดใจจริงที่ตอบว่า  ใช่  ในทันทีทันใดน่ะ  ขณะที่ผมกำลังจะถามว่าเธอสนใจจะทำอะไร  เธอได้ขยายความว่า  “แต่ว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวค่ะ”
ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องถามอีก
จากนั้นจิตันดะเริ่มพูดอีกครั้ง
“แต่เรากำลังพูดเรื่องชมรมวรรณกรรมอยู่ค่ะ  ฉะนั้นเราควรทำกิจกรรมที่เกี่ยวกับชมรมเราด้วยสิ  เราไม่ได้มาแค่นั่งเฉยๆและไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
“อ่าหะ  แต่เรายังไม่รู้เลยนะว่าจุดประสงค์ชมรมคืออะไรน่ะ”
“ไม่ค่ะ  มีนะคะ”
ไม่ว่าเธอจะพูดด้วยอำนาจของประธานชมรมหรือรัศมีของตระกูลผู้ดี  จิตันดะประกาศว่า  “เราจะตีพิมพ์กวีนิพนธ์ในงานวัฒนธรรมเดือนตุลาคมค่ะ”
งานวัฒนธรรม?
ผมเคยมางานวัฒนธรรมโรงเรียนคามิยามะมาก่อน  เลยคุ้นเคยกับมัน  ถ้าให้พูดสั้นๆก็  มันคือหัวใจสำคัญของชีวิตวัยหนุ่มสาวบริเวณนี้  และการอ้างอิงของซาโตชิ  งานวัฒนธรรมคามิยามะถูกแนะนำอย่างมากสำหรับคนที่สนใจในเรื่องของศิลปะ  ขณะที่การแข่งขันเต้นเบรกแดนซ์ก็เป็นแหล่งสำหรับมืออาชีพในอนาคต  ชมรมมากมายที่เกี่ยวกับศิลปะแขนงต่างๆจะเข้ามาร่วมมือกัน  ในระหว่างชีวิตม.ปลายสามปีของเธอ  ผมจำได้ว่าเห็นพี่สาวถือกล่องใส่กวีนิพนธ์ไปโรงเรียนด้วย
ดังนั้นถ้าให้พูดแล้ว  สิ่งเหล่านั้นก็เป็นชีวิตสีกุหลาบที่เป็นรูปธรรม  แล้สวผมรู้สึกอย่างไรกับเรื่องนี้  คิดว่าคงดีกว่าที่ผมไม่กล่าวอะไรเกี่ยวกับมัน  แค่พูดว่าผมแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลยซักนิดก็พอ
อย่างไรก็ตาม  กวีนิพนธ์งั้นเหรอ?  ผมคิดข้อเสนอของจิตันดะ  และถามคำถามเข้ามาในหัวตามที่คิดไว้  “จิตันดะ  การทำกวีนิพนธ์เป็นแค่ผลลัพธ์สุดท้าย  และไม่ใช่จุดประสงค์ของชมรมด้วยไม่ใช่รึไง?”
จิตันดะส่ายศรีษะและตอบว่า
“ไม่ค่ะ  “ถ้าเป้าหมายของชมรมคือการทำกวีนิพนธ์  แล้วการทำแบบนั้นทำให้เราสามารถบรรลุเป้าหมายมันได้ไงคะ”
“ฮะ?”
“อย่างที่บอกไปไงคะ  ถ้าผลลัพธ์คือเป้าหมายของมัน  งั้นเราก็ต้องพยายามเพื่อไปให้ถึงผลนั้น  ถูกมั้ยคะ?”
หืม  ผมเลื่อนสายตาขึ้น  ผมว่าผมเข้าใจแล้วว่าเธอพยายามสื่อถึงอะไร  แต่นั่นไม่เป็นการใช้คำที่ฟุ่มเฟือยไปหน่อยเหรอ?
นอกจากนั้น  กวีนิพนธ์แค่ฟังก็ยุ่งยากแล้ว  แม้ว่าผมไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่ากวีนิพนธ์  หรืออะไรที่ต้องการเขียนบางอย่างมันน่ารำคาญ  จะดีกว่าถ้าไม่ต้องให้ผมทำมันน่ะ  ไม่ว่าเป้าหมายหรือกิจกรรมชมรม  หรือการที่ให้ผมทำบางอย่าง  เป็นการกระทำที่ใช้ความพยายามมาก  และผลาญแรงอีกด้วย
“ไม่ต้องทำกวีนิพนธ์หรอกน่า  มันเป็นภาระหนักนะ  นอกจานี้... ใช่  คนเขียนสามคนก็มากกเกินไปด้วย”
ถึงอย่างนั้นจิตันดะยังแน่วแน่ในข้อเสนอของเธอ
“ไม่ค่ะ  ต้องเป็นกวีนิพนธ์สิคะ”
“ถ้าเธออยากทำอะไรซักอย่าง  เราก็จัดบูธแสดงงานศิลป์หรืออะไรเทือกๆนั้นก็ได้”
“งานวัฒนธรรมคามิยามะถูกห้ามไม่ให้จัดบูธแสดงงานศิลป์นานแล้วค่ะ  ดังนั้นไม่ได้  เราต้องทำกวีนิพนธ์ค่ะ”
“...หา?”
“ชมรมของเรามีงบประมาณสำหรับ ‘กวีนิพนธ์’ โดยเฉพาะค่ะ  มันจะเป็นปัญหานะคะถ้าเราไม่ทำอะไรซักอย่างเลยน่ะ”
จิตันดะนำกระดาษที่พับอย่างเรียบร้อยจากกระเป๋าเสื้อและยื่นให้ผมดู  ที่จริงงบประมาณประจำปีนี้ของชมรมวรรณกรรม  จำนวนเงินรวมอันน้อยนิดถูกจัดสรรไว้สำหรับการทำ  “กวีนิพนธ์”  โดยเฉพาะแล้ว
“แล้วก็นะคะ  อาจารย์โออิเดะก็ขอให้เราทำเหมือนกัน  เพราะว่ามันเป็นธรรมเนียมของชมรมวรรณกรรมที่ทำกวีนิพนธ์ในแต่ละปีมากว่า  30  ปีแล้ว  และเขาคงไม่อยากเห็นว่ามันมาถึงจุดจบหรอกนะคะ”
“...”
จากการวัดคร่าวๆ  คนมีเหตุผลจะเป็นที่คนฉลาด  แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนไม่มีเหตุผลเป็นคนโง่  จิตันดะไม่ใช่คนโง่แน่นอน  แต่เธอกลายเป็นคนไม่มีเหตุผลแล้ว  เริ่มด้วยการที่เธอสนใจอารมณ์มากกว่าเรื่องเงิน  และตัดสินใจเรื่องกิจกรรมชมรมตามธรรมเนียมปฏิบัติ  แต่ผมก็สำนึกได้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะพยายามโต้เถียงกับสิ่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาก่อน  ดังนั้นผมจึงระบายยิ้มอันขมขื่นและกล่าวอย่างยอมแพ้
“โอเค  โอเค  เราจะทำกวีนิพนธ์กัน”
ดังนั้นจบกับวันอันไร้เป้าหมายที่ไร้กังวลของผมซักที  อย่างน้อยผมก็ยังสุขภาพแข็งแรง  คิดว่างั้นนะ
สายฝนยังคงร่วงโรยอยู่ด้านนอก  เนื่องจากยังไม่ใช่เวลาที่จะกลับบ้าน  ผมตัดสินถามออกไป  “แล้ว  เธอจะทำกวีนิพนธ์ยังไงล่ะ?”
“ยังไง?  อะไรเหรอคะ?”
“เรื่องแบบไหนที่เขียนกันมาทุกๆปีล่ะ?”
ทั้งๆที่ไม่น่าเป็นไปได้  ผมจำยอมที่จะเขียนแนววิชาการ  -อย่างการเขียนเรื่อง  “บทวิจารณ์ของ  ‘8  ซามูไรในตำนาน*’,  ‘เรื่องราวของแสงจันทร์และสายฝน*’  -กับการเข้าถึงบบาทจักรพรรดิของ ‘ชิรามิเนะ’ “  หรือไม่ก็  “ ‘ภาพสะท้อนอันยิ่งใหญ่*’  -กับข้อสังเกตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมในนวนิยาย  ตลอดจนบทวิจารณ์ของเรื่อง”  เพื่อความปลอดภัยผมน่าจะเตรียมเรื่องของภาคผนวก  ถึงอย่างนั้นผมก็พร้อมยอมรับว่าผมไม่น่าจะทำกวีนิพนธ์ซ้ำกับปีก่อนๆที่ผ่านมา  อย่างไรก็ตามรูปแบบประเภทไหนสำหรับกวีนิพนธ์ที่เลือกเอามาเป็นธรรมเนียมนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
ทว่าคำตอบที่ผมคิดไว้นั้นกลับไม่ใช่
“อืม  ฉันไม่แน่ใจนะคะ  ฉันว่าเราจะเขียนเรื่องอะไรดีล่ะคะ?”
เป็นดังคาด  เนื่องจากเธอเป็นประธาน  ทำให้ง่ายที่จะลืมไปว่าเธออยู่ในชมรมนี้แค่เดือนกว่าๆเท่านั้น
“ฉันแน่ใจว่าเราจะรู้ถ้าเราเจอพวกสำเนานะคะ”
“น่าจะอยู่แถวนี้นะ  รู้เหรอว่าอยู่ตรงไหนน่ะ?”
“ในห้องชมรมรึเปล่าคะ?”
ผมเข้าใจแล้ว
ผมรู้สึกสลดใจอย่างกะทันหันที่จะต้องเดินตามทางของเธอ  ผมชี้นิ้วไปรอบๆห้เธอเห็น
“...อ้อ!  นี่เป็นห้องชมรมนี่นา”
เออสิ
“ก็มันรู้สึกอย่างกับไม่ใช่ห้องชมรมเลยนี่คะ...”
เธอพูดถูกเลยล่ะ
ห้องธรณีวิทยานี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากอุปกรณ์การเรียนการสอนทั่วๆไป  ทั้งหมดที่เราเห็นคือกระดานดำ  โต๊ะและเก้าอี้  ตลอดจนอุปกรณ์ความสะอาด  โดยรวมแล้วก็เป็นห้องเรียนปกติ  ดูแล้วไม่มีตรงไหนเก็บหนังสือไว้เลยซักนิด
“พวกสำเนาดูแล้วไม่ได้เก็บไว้ที่นี่นะคะ”
“อืม  งั้นแหละ”
“งั้นก็...ไปดูที่ห้องสมุดมั้ยคะ?”
ฟังดูเหมาะสมดีผมเลยพยักหน้ารับ  จิตันดะคว้ากระเป๋าถือของเธอและยืนขึ้น
“ไปกันค่ะ”
โดยไม่รอคำตอบของผม  เธอเปิดประตูและเดินออกไปเลย  เธอนี่ค่อนข้างเป็นคุณหนูน้อยผู้กระตือรือร้นจังนะ  ห้องสมุดอยู่แค่ตรงทางเดินโรงเรียน  ไม่ไกลมากจากที่นี่
ไม่สิ  เดี๋ยวนะ  วันนี้วันศุกร์  งั้นบรรณารักษ์วันนี้ก็...

“อ้าว  โอเรกิไม่ใช่เหรอ?  ไม่เจอกันนานนะ  ถึงจะแทบไม่เคยคิดถึงนายเลยก็เถอะ”
เมื่อเข้ามาในห้องสมุด  ผมก็ได้รับการต้อนรับอย่างเหน็บแนมในทันที  ตามที่คาดไว้  คนที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์เป็นใครไปไม่ได้นอกจากอิบาระ  มายากะ
อิบาระกับผมย้อนกลับไปสมัยก่อน  เนื่องจากเราเคยอยู่ห้องเดี่ยวกันมาตลอดเก้าปีตั้งแต่ประถม  ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเธออยู่แบบนี้มาตั้งแต่เด็ก  และดูโตขึ้นมาอีกนิดนึงตอนมาเป็นนักเรียนม.ปลาย  คุณอาจเห็นว่าหน้าตาแบบเด็กน้อยและส่วนสูงอันน้อยนิดนั่นน่ารัก  แต่อย่าโดนภาพลักษณ์นั่นหลอกเอา  เพราะเธอถืออาวุธที่ซ่อนกับตัวไว้ตลอด  ถ้าคุณลดเครื่องป้องกันลง  คุณจะเจอกับสีสันที่ผสมด้วยคำพูดอันเหน็บแนม  ผมขอบอกเลยว่าให้อยู่ห่างๆเธอไว้ด้วยเรื่องของเหล่าชายที่โดนหน้าตาเด็กน้อยนั่นหลอก  มีแต่ดิ่งลงเหวเท่านั้นแหละ  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอจะยอมรับผิดหรอก  คนส่วนมากจะคิดว่าเธอเป็นพวกใจดำกันทั้งนั้น
แม้ว่าผมเองจะไม่เชื่อการประเมิณเธอแบบนั้นก็ตาม
ผมทำสีหน้าไม่พอใจเท่าที่จะทำได้และตอกกลับไป
“ไง  มาเพื่อเจอเธอเลยนะ”
“ที่นี่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับคนมีการศึกษานะ  ไม่ได้สร้างขึ้นเพื่อให้คนอย่างนายมาเยื่ยมเยียนหรอกย่ะ”
อิบาระนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้หลังเคาน์เคอร์  เนื่องจากบรรณารักษ์ทั้งหมดดูแลเรื่องการยืมคืนหนังสือจากห้องสมุดแล้ว  เลยดูเหมือนจะไม่เหลืองานอะไรให้เธอทำเท่าไหร่  ขณะที่หน้าที่หลักของเธอคือการนำกล่องคืนหนังสือไปวางตามชั้นหนังสือแต่ละหมวด  กล่องคืนหนังสือยังคงบรรจุหนังสือไว้อย่างระเกะระกะ  อิบาระไม่ใช่พวกขี้เกียจ  ดังนั้นเธอคงจะทำมันทีเดียวไปเลย  ในมือเธอคือหนังสือเล่มหนาที่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเธอเอาไว้อ่านฆ่าเวลา
ห้องสมุดตอนนี้ค่อนข้างคนเยอะ  มีประมาณสิบสี่คนเห็นจะได้  มีอยู่คนสองคนที่สาละวนกับการอ่านอยู่  จริงๆแล้วน่าจะมาอ่านเพราะว่างกัน  แต่ผมก็เข้าใจว่ามาฆ่าเวลาระหว่างรอฝนหยุดตก  ผมสังเกตเห็นเด็กผู้ชายคนหนึ่งกำลังสองเรา  ผมรู้ในทันทีว่าหมอนั่นคือฟุคุเบะ  ซาโตชิของทุกคน
ซาโตชิเห็นการเพ่งเล็งของผมจึงยืนขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มปกติ
“โย่  โฮตาโร่  ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่นะ”
อิบาระจ้องเราด้วยสีหน้าบึ้งตึงและกล่าวว่า
“ยังเป็นสนิทกันดีเหมือนเดิมเลยนะ?  สมแล้วที่เป็นคู่ขาจากม.ต้นคาบุรายะ”
ผมรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะเถียงเธอกลับ  แต่ผมยังคงบอกว่า  “เงียบไปเหอะ”
อิบาระเพียงแค่ตอบกลับมาเรียบๆ  “ตายแล้ว  นายค่อนข้างขี้แยนะสำหรับพวกมืดมนน่ะ”
....ขี้แย  หา?
แล้วเธอก็หันไปทางซาโตชิด้วยสีหน้าใจเย็น
“ฟุคุจัง  นายรู้ว่าฉันรู้สึกยังไง  ดังนั้นนายก็รู้สินะว่าฉันแค่ล้อเล่นน่ะ  เนอะ?”
“อา  ไม่ต้องกังวลหรอกนะมายากะ  อย่าหงุดหงิดไปเลย”
“อะไรนะ?  นายจะยอมให้เธอแก้ตัวพ้นผิดแบบนั้นอีกเรอะไง?”
ซาโตชิถลึงตาใส่ผมแล้วเบือนสายตาออกไป  ผมยิ้มขมขื่นเพราะรู้ว่าอิบาระหลงซาโตชิมานานแล้ว  ผมคิดไม่ออกว่าเธอเริ่มชอบเมื่อไหร่  แต่ว่าซาโตชิก็หลบเลี่ยงการพัฒนาความสัมพันธ์มาตลอด
ซาโตชิแกล้งกระแอมไอเพื่อทำการเปลี่ยนเรื่องสนทนา
“เอาเถอะ  ชมรมวรรณกรรมมีธุระอะไรกับห้องสมุดกันเหรอ?”
อา  ใช่  ผมไม่ได้มาห้องสมุดเพื่อมาเจอหน้าอิบาระนี่นา  ผมเร่งจิตันดะให้พูดอะไรบ้าง  ดูเหมือนเพิ่งหลุดจากภวังค์  คุณหนูของเราจึงเอ่ยอย่างประหม่ากับอิบาระ  “เอ่อ  คือ  สวัสดีค่ะ  ฉันถามอะไรหน่อยได้มั้ยคะ?”
“ได้สิคะ  อะไรเหรอ?”
“ฉันจะถามเรื่องกวีนิพนธ์ที่เก็บไว้ในห้องสมุดน่ะค่ะ”
“อื้ม  อยู่บนชั้นด้านขวานู่นน่ะค่ะ”
“แล้วมีของชมรมวรรณกรรมคลาสสิกมั้ยคะ?”
อิบาระเอียงศรีษธอย่างสงสัย
“ชมรมวรรณกรรมคลาสสิกเหรอ?... อืม  ขอโทษนะ  ไม่แน่ใจว่ามีรึเปล่า  ให้ฉันหาให้มั้ยคะ?”
ขณะที่จิตันดะกำลังจะกล่าวขอบคุณ  ซาโตชิหยุดเธอไว้ก่อน
“ไม่ต้องหาหรอก  ผมไปดูๆแถวชั้นนั้นมาแล้วไม่เห็นนะ  มายากะ  มีที่ไหนอีกมั้ยถ้าไม่อยู่ตรงนั้นน่ะ?”
“อืม  ถ้าไม่ได้อยู่ที่ชั้น  งั้นคงเป็นห้องเก็บเอกสารมั้ง”
“ห้องเก็บเอกสารเหรอ?”
ซาโตชิคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนถามออกไป
“คุณจิตันดะฮะ  แล้วทำไมถึงมาหากวีนิพนธ์ล่ะ?”
“เรากำลังจะทำเรื่องนึงสำหรับงานวัฒนธรรม  ดังนั้นเราเลยมาหาสำเนาเพื่อเอามาอ้างอิงค่ะ”
“อ๋อ  งั้นก็สำหรับเทศกาลคันยะสินะ  หือ?  ไม่ยักรู้เลยนะว่านายเป็นคนเฉลียวฉลาดขนาดนั้นน่ะ  โฮตาโร่”
เฉลียวฉลาด?  ถ้าจะพูดให้ถูกผมโดนบังคับให้ทำต่างหาก  มิหนำซ้ำจิตันดะคงจะไม่จำเป็นต้องให้ผมเป็นคนรอบรู้หรอก
เดี๋ยวนะ  เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ?
“ซาโตชิ  นายเรียกงานวัฒนธรรมว่าอะไรนะ?”
“เทศกาลคันยะไง  ไม่เคยได้ยินเหรอ?  เป็นชื่อย่อของงานวัฒนธรรมโรงเรียนคามิยามะน่ะ”
ชื่อย่อ  หือ?  อย่างพวกเทศกาลโซเฟียของมหาวิทยาลัยโซเฟีย  หรือไม่ก็เทศกาลมิตะของมหาวิทยาลัยเคโอน่ะเหรอ?  แล้วอีกครั้งที่เหมือนกับเรื่อง  “ยกกำลังทั้งสี่”  ผมพบว่ามันยากที่จะเชื่อน่ะนะ
“ฟังแล้วน่าสงสัยชะมัด  เรื่องจริงงั้นเหรอ?”
“อื้ม  เรื่องจริงนะ  ถึงจะเป็นชื่อย่ออย่างไม่เป็นทางการ  แต่ผมก็ได้รุ่นพี่ในชมรมหัตถกรรมเรียกว่าเทศกาลคันยะนะ  ชมรมสังคมมังงะก็เหมือนกันใช่มั้ย  มายากะ?”
งั้นอิบาระก็อยู่ชมรมสังคมมังงะ  หือ?  ถึงจะดูเข้ากับภาพลักษณ์ของเธอ  แต่ก็ยังรู้สึกไม่เหมาะกันเท่าไหร่
“อื้ม  ทุกคนก็เรียกกันว่าเทศกาลคันยะนะ  ขนาดคณะกรรมการนักเรียนยังเรียกแบบนั้นเลย”
“คันยะ?  สะกดเป็นคันจิยังไงเหรอคะ?”
ซาโตชิเท้าคางแล้วตอบว่า
“ไม่รู้สิ  ทุกคนแค่เรียกกันแบบนั้นน่ะ”
ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงว่า  ‘เทศกาลคันยะ’  คือชื่อย่อ  ถึงอย่างนั้นผมคิดไม่ออกว่าคำไหนที่สะกดตรงกับคำว่า  ‘คันยะ’  อ้อใช่  หาพวกรากศัพท์เก่าๆก็น่าจะใช้ได้เหมือนกัน  ขณะที่ผมกำลังคิดเรื่องนั้นซาโตชิได้เสริมว่า
“บางทีคงย่อจาก  ‘คามิยามะ’  ไปเป็น  ‘คันยามะ’  แล้วก็ผันเป็น  ‘คันยะ’  ล่ะมั้ง”
สมแล้วที่เชี่ยวชาญในเรื่องความรู้งี่เง่าแบบนี้
ขณะที่เรากำลังจะหลุดจากเรื่องราวไป  อิบาระได้ดึงเรากลับมาอย่างเหนียวแน่น
“เอาเถอะ  กวีนิพนธ์ใช่มั้ยคะ?  เราน่าจะเจอมันถ้าไปหาในห้องเก็บเอกสารนะ  แต่ว่าอาจาย์บรรณารักษ์กำลังประชุมอยู่ตอนนี้เราเลยยังเข้าไปไม่ได้น่ะ  เธอน่าจะกลับมาในครึ่งชั่วโมงนี่แหละ  จะรอมั้ยล่ะ?”
ครึ่งชั่วโมงงั้นเหรอ?  จิตันดะไม่ได้รีบร้อนที่จะเห็นพวกมันในครั้งเดียว  เธอเลยหันมองผมแลกระซิบว่า  “เอายังไงดีคะ?”  ผมน่ะยังไงก็ได้  แต่สังเกตได้ว่าฝนยังคงตกหนักอยู่ด้านนอก  พยากรณ์อากาศบอกว่าฝนจะหยุดตกจวนเย็นๆและเราจะมีค่ำคืนพี่พร่างพรายไปด้วยดวงดาววันนี้  แต่เพราะฝนยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดตกตอนนี้  ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอล่ะนะ
“คงต้องรอล่ะ”
“ทั้งที่นายกลับได้เนี่ยน่ะ?”
ผมตัดสินใจหยิบหนังสือนิยายปกอ่อนขึ้นมาอ่านต่อจากที่ค้างไว้  ซาโตชิดึงแขนเมื้ออิบาระแล้วเอ่ยว่า  “มายากะ  ทำไมไม่เล่าเรื่องที่เธอบอกผมก่อนหน้านี้ให้โฮตาโร่ฟังล่ะ?”
อิบาระยกระดับตาสีน้ำตาลของเธอก่อนจะพยักหน้า
“ก็ได้  โอเรกิ  รู้สึกอยากให้สมองออกกำลังหน่อยมั้ยล่ะ?”
ไม่
แต่อิบาระไม่สนใจ
“เรื่องอะไรเหรอคะ?”
ซาโตชิตอบคำถามของจิตันดะด้วยรอยยิ้มปกติบนใบหน้า
“เรื่องนึงเกี่ยวกับหนังสืออันเป็นที่นิยมที่ไม่มีใครอ่านน่ะ”

“อย่างที่รู้ว่าทุกวันศุกร์หลังเลิกเรียนฉันต้องมาประจำที่นี่  และฉันก็พบว่าเมื่อไม่นานมานี้มีหนังสือเล่มเดิมส่งมาคืนทุกสัปดาห์  นี่ก็ห้าสัปดาห์ติดกันแล้ว  ไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
อิบาระเริ่มพูดระหว่างที่ผมง่วงอยู่กับการหาโต๊ะอ่านหนังสือ  โชคร้ายที่ไม่มีที่ว่างเลย  ฉะนั้นผมไม่มีทางเลือกนอกจากนั่งโต๊ะหน้าสุดที่ซาโตชินั่งมาก่อน
เนื่องจากโต๊ะอยู่ใกล้กับเคาน์เตอร์  เราเลยได้ยินเสียงจิตันดะกับอิบาระจากตรงนี้
“หนังสือที่ได้รับความนิยม?”
“เป็นยังไงเหรอคะ?”
อิบาระยื่นหนังสือเล่มหนาที่เธอถือไว้ให้พวกเราดู
“โห  หนังสือสวยจังเลยค่ะ...”
จิตันดะอ้าปากค้าง  แล้วเลื่อนสายตามาทางผม  สีหน้าเบิกบานของคุณหนูของเราราวกับผมได้ซื้อหนังสือหุ้มปกสวยหรูให้เธอ  หนังสือเป็นปกหนังประดับด้วยลวดลายละเอียดละอออย่างประณีต  สีกรมท่าของมันได้แผ่รัศมีความขลังออกมา  ชื่อหนังสือคือ  “โรงเรียนคามิยาะมะ:  50 ปีที่ก้าวมาด้วยกัน”  นอกจากนี้ยังหนาแล้วยังค่อนข้างมีขนาดใหญ่กว้างพอควรเลย
“ขอดูข้างในหน่อยได้มั้ยคะ?”
“เอาสิ”
เมื่อผมเอานิยายปกอ่อนของตัวเองออกมา  ผมเริ่มหาหน้าที่ได้อ่านค้างไว้  ทว่าวิสัยทัศน์จากนิยายถูกแทนที่ด้วยหน้าหนังสือคุณภาพดีนั่นอย่างรวดเร็ว  เป็นจิตันดะที่เป็นคนเปิดหนังสือที่ว่า  -  “โรงเรียนคามิยาะมะ:  50 ปีที่ก้าวมาด้วยกัน”  -  วางมันบนนิยายของผมเพื่อให้ผมได้ดู  แม้ว่าผมจะไม่ได้สนใจ  แต่ก็ไม่ได้เพิกเฉยมันไปเช่นกัน  รวมทั้งกวาดสายตามองเนื้อหาอย่างรวดเร็ว  ไม่มีอะไรอย่างอื่นนอกจากพวกคำบอกเล่าประวัติโรงเรียน  อย่างเช่น:]

1972
เหตุการณ์ในประเทษญี่ปุ่นและระดับโลก:
วันที่  15  พฤษภาคม:  โอะกินะวะกลับคืนสู่ใต้การปกครองของแผ่นดินแม่  หลังจากถูกปกครองด้วยกองทัพจากสหรัฐอเมริกาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
วันที่  29  กันยายน:  การลงนามแถลงการณ์ร่วมจีน-ญี่ปุ่น  เพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ
การปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันของราคาที่ดินและราคาสินค้าในปีนี้

เหตุการณ์ในโรงเรียนคามิยามะ
◯  วันที่  7  มิถุนายน:  ชัยชนะครั้งแรกของชมรมยิงธนูแห่งโรงเรียนมัธยมปลายคามิยามะในการแข่งขันมือสมัครเล่นระดับจังหวัด
◯  วันที่  1  กรกฎาคม:  การยกเลิกทัศนศึกษาของนักเรียนปีที่  1  เนื่องจากพายุไต้ฝุ่น
◻  วันที่  10 – 14  ตุลาคม:  งานวัฒนธรรม
◻  วันที่  30  ตุลาคม:  งานกีฬาสี
◻  วันที่  16 – 19  พฤษจิกายน:  ทัศนศึกษาของนักเรียนชั้นปีที่  2  ณ เมืองซะเซะโบะ  จังหวัดนางาซากิ
◻  วันที่  23 – 24  มกราคม:  หลักสูตรการเล่นสกีของนักเรียนปีที่  1
◯  วันที่  2  กุมภาพันธ์:  พิธีศพแด่นักเรียนชั้นปีที่  1   โอดิเดะ  นาโอโตะ  ผู้เสียชีวิตในอุบัติเหตุรถยนต์

มันเต็มไปด้วยรายละเอียดดังที่ว่าไป  รายละเอียดพวกนี้ทำให้ยากที่จะอ่านได้ทั้งหมด  ผมจะไม่มีทางยืมหนังสือนั่นเพื่อมาอ่านเลยแม้แต่ครั้งเดียว  แต่ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีใครทำแบบนั้นเพื่อความพึงพอใจของเขาล่ะนะ
“โฮตาโร่  นายกำลังคิดว่า ‘ฉันจะไม่แปลกใจเลยถ้ามีใครทำแบบนั้นเพื่อความพึงพอใจของเขาล่ะนะ’  อยู่ใช่มั้ยล่ะ?”
หยุดอ่านความคิดฉันเถอะ  ไอ้โทรจิตงี่เง่า
เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้ดุด่าอะไรเขา  อิบาระสูดหายใจเข้าจนหน้าอกแฟบๆของเธอยกขึ้นและพูดว่า
“นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดานะ  นายน่ะนานๆครั้งจะมายืมหนังสือทีนึง  เพราะงั้นนายก็ไม่รู้เรื่องหรอก  ฟังให้ดีนะ  ระยะการยืมหนังสือน่ะสามารถยืมได้ถึงสองสัปดาห์  ดังนั้นไม่จำเป็นที่คนคนนึงจะยืมหนังสือและคืนมันในหนึ่งสัปดาห์หรอก”
“และยิ่งกว่านั้นคือหนังสือเล่มนี้ถูกนำมาคืนทุกสัปดาห์เลยไงล่ะ”
...อ้อ  เรื่องนี้มันแปลกจริงๆนั่นแหละ
“แล้วพอจะรู้มั๊ยคะว่าใครยืมหนังสือไปน่ะ?”
“มีสิ  ที่ด้านหลังมีรายชื่อคนยืมหนังสือไปน่ะ  นี่ไง”
จิตันดะพลิกไปที่ปกด้านหลังทันทีและเห็นรายชื่อที่อิบาระบอกไว้
“หา?”
เธออ้าปากค้าง
“อะไรเหรอ?”
รายชื่อนั้นประกอบไปด้วยชื่อของผู้ยืมตลอดจนวันที่ที่ได้ยืมหนังสือไป  เราสามารถบอกได้เลยจริงๆว่าพวกเขายืมหนังสือไปทุกสัปดาห์  แต่นั่นไม่ใช่สาเหตที่ทำให้จิตันดะต้องอ้าปากค้าง  เพราะเธอชี้นิ้วไปที่รายชื่อให้กับผม
คนที่ยืมหนังสือของสัปดาห์นี้ไปคือ  มาจิดะ  เคียวโกะ  ห้อง  2 – D  เมื่อสัปดาห์ก่อนคือ  ซาวะคิกุจิ  มิซากิ  ห้งอ  2 – F  สองสัปดาห์ก่อน  ยามากุจิ  เรียวโกะ  ห้งอ  2 – E  ส่วนสามสัปดาห์ก่อนเป็น  ชิมะ  ซาโอริ  ห้อง  2 – E  และสี่สัปดาห์ก่อนคือ  สึซึกิ  โยชิเอะ  ห้อง  2 – D
“พูดง่ายๆคือ  คนที่มายืมก็เปลี่ยนคนไปทุกสัปดาห์สินะ?”
“ไม่ใช่แค่นั้นค่ะ”
จิตันดะแสดงวันที่ให้ผมดู  ขณะที่ผมดูให้ละเอียด  วันสุดท้ายคือวันนี้  และวันที่ยืมก่อนหน้าหน้านั้นต้องเป็นเมื่อเจ็ดวันก่อนอยู่แล้ว
“หนังสือยืมไปเมื่อวันศุกร์”
“ค่ะ  หนังสือถูกยืมและคืนกลับในวันเดียวกัน  อย่างมาจิดะ  เคียวโกะ  เพิ่งยืมหนังสือไปเมื่อเช้านี้แล้วนำมาคืนทีหลังค่ะ  เป็ฯเหมือนกับผู้ยืมคนอื่นๆมาห้าสัปดาห์ค่ะ  เรายังสามารถบอกเวลาที่พวกเค้ามายืมได้ด้วยนะคะ  เป็นทุกช่วงกลางวันของวันศุกร์เลยค่ะ  การที่ยืมหนังสือตอนกลางวันแล้วนำมาคืนหลังเลิกเรียน  พวกเค้าจะมีเวลาที่ไหนไปอ่านมันกันล่ะคะ?”
“...”
 “ไง?  อยากรู้มั้ยล่ะ?”
ขณะส่งหนังสือให้กับอิบาระ  จิตันดะผงกศรีษะอย่างนุมนวล
“ค่ะ... ฉันอยากรู้มากค่ะ”
เธอกล่าวด้วยเสียงเข้มกว่าปกติ  เหมือนกับครั้งที่แล้ว  ลูกตาของเธอดูราวกับขยายขึ้น  เผยให้เห็นถึงความสนใจอันแรงกล้าภายในนั้น
“ทำไมล่ะ?”
ขอบใจสำหรับเงื่อนงำของอิบาระที่ทำให้ไฟแห่งความอยากรู้อยากเห็นของคุณหนูเราจุดประกายขึ้นนะ  ซาโตชิก็ไม่มีประโยชน์เหมือนกับน้ำน้อยไปดับไฟ  เพราะว่าหมอนั่นคงแกล้งโง่และพูดว่า  “ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยล่ะ”  ผมตัดสินใจหันกลับมาอ่านนิยายของตัวเอง
แต่ผมซื่อเกินไป  เนื่องจากผมไม่คาดคิดถึงหอกแหลมคมด้านข้างตัวเองเลย  เป็นอีกครั้งที่จิตันดะวางหนังสือเล่มหนา  “โรงเรียนคามิยาะมะ:  50 ปีที่ก้าวมาด้วยกัน”  บังนิยายของผมและเอ่ยว่า
“แล้วคุณคิยังไงคะ  คุณโอเรกิ?”
“ห๊ะ  ฉัน?”
แทนที่จะได้รับรอยยิ้มนิ่มๆ  ซาโตชิกลับไม่ได้ยิ้มเยาะให้กับผม  ผมรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันที  ไอ้หมอนี่หลอกให้ผมติดกับดักเรียบร้อยไปแล้วนี่เอง  ขอสาบแช่งนายกับแผนร้ายๆนั่นเถอะ
“มาแก้ปัญหาด้วยกันเถอะค่ะ”
“...”
“นะคะ  คุณโอเรกิ?”
ทำไม?  ทำไมต้องเป็นฉัน?  ถึงแม้ว่าผมจะพอรับได้กับความสงสัยอันทรงพลังของจิตันดะ  และแม้ผมอาจจะยอมรับว่าซาโตชิน่าจะมีข้อดีเป็นของตัวเองบ้าง  ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามันเป็นแค่เรื่องตลก  ทำไมผมต้องถูกบังคับให้เล่นตามเกมส์หมอนั่นและไขปริศนากับเธอล่ะ?
ถึงอย่างนั้นก็จริงที่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก่อตัวชี้ให้เห็นว่าจะต้องกลายเป็นเรื่องยุ่งยากแหงๆ  ดังนั้นผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากได้แต่ตอบไปเช่นนี้ว่า
“...อือ  ฉันว่ามันก็น่าสนใจดี  จะลองคิดดูละกัน”
อิบาระเดินมาข้างๆซาโตชิและถามว่า  “ฟุคุจัง  ซาโตชิฉลาดจริงๆเหรอ?”
“ไม่อยู่แล้ว  เขาน่ะเชื่อถือไม่ได้  แต่ว่าบางคร้งก็ใช้ได้ล่ะนะ”
ทำไมนายถึงได้หน้าหนาขนาดนี้กันฮะ
และผมก็เริ่มคิดถึงเรื่องนั้น

สำหรับหนังสือที่ถูกยืมไปและนำกลับมาคืนในวันเดียวกันตลอดห้าสัปดาห์โดยต่างคนกันไป  โอกาสที่เป็นความบังเอิญไม่สามารถยอมรับได้หรอก  แต่ผมก็ไม่เชื่อเช่นกันว่ามันเป็นเพราะพระเจ้ากำหนดมา  นอกจานั้นจิตันดะไม่ยอมรับคำชี้แจงข้อนี้แน่  ทำให้เธอเลิกอยากรู้น่ะสำคัญกว่าความจริงเป็นไหนๆอยู่แล้ว
ดังนั้นโยนพวกทฤษฎีที่ว่าเป็นเรื่องบังเอิญง่ายๆไปได้เลย  เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าหนังสือไม่ได้ถูกยืมไปเพื่อการอ่าน  เพราะจะไม่มีเวลาที่ไหนไปอ่านเลยระหว่างการยืมช่วงพักกลางวันและคืนตอนเลิกเรียน  ถ้าคุณคิดอย่างนั้น  จะมีเหตุผลมากมายที่คนคนหนึ่งนำกลับไปอ่านที่บ้าน  หรือแค่ในห้องสมุดตอนหลังเลิกเรียนก็ได้  สำหรับกรณีหลังนั้นจะไม่มีความจำเป็นที่ต้องยืมหนังสือออกมาจากห้องสมุดเลยด้วยซ้ำ  ดังนั้นหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกยืมไปใช้ตามจุดประสงค์ดั้งเดิมของมัน
“....แล้วถ้าหนังสือไม่ได้ถูกยืมไปอ่าน  แล้วจะยืมไปเพื่ออะไรกันล่ะ?”
จิตันดะตอบว่า  “หนังสือหนักขนาดนั้น  อาจจะเคยใช้ดองผักก็ได้นะคะ?”
ซาโตชิให้คำตอบว่า “บางทีคงเอาไปใช้เป็นโล่หรืออะไรซักอย่าง?”
อิบาระรับคำว่า  “มันหนาด้วย  น่าจะเอาไปซ้อนๆกันเป็นหมอนนะ”
ฉันไม่น่าถามพวกนายเลย
ผมผมตัดสินใจเปลี่ยนความสนใจไปที่อื่น
ทำไมหนังสือถึงถูกยืมไปโดยต่างคนกันทุกสัปดาห์  นอกจากเป็นความบังเอิญซึ่งเป็นไปไม่ได้แล้ว  ก็มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง  หนึ่ง  พวกเด็กผู้หญิงที่ไม่รู้จักเลยทว่ามาหาหนังสือในวันศุกร์ตอนบ่ายเพื่อพิธีบางอย่างและสลับกันมายืมมัน
เนื่องจากเป็นพิธีกรรมอย่างพวกทำนายดวงงั้นเหรอ?  อย่างเช่นว่า  “สิ่งของนำโชคประจำเดือนนี้คือหนังสือประวัติของโรงเรียน  ถ้าคุณยืมมันทุกบ่ายวันศุกร์และคืนในวันเดียวกัน  คุณจะได้พบกับชายในฝัน”  เหรอ?
....เอ่อ  ดูงี่เง่าสุดๆเลย
งั้นเหลืออย่างที่สองคือเด็กผู้หญิงพวกนั้นรู้จักกัน
มองจากชื่อที่เขียนไว้แล้วทั้งหมดต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน  แต่แค่นั้นไม่พอให้เป็นจุดเชื่อโยงกันหรอก  ในคามิยามะ  ถ้าสุ่มคนห้าคนก็มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้หญิงทั้งหมด  ทว่าก็เป็นธรรมดาที่คนเพศเดียวกันจะรวมกลุ่มไปไหนมาไหนด้วยกัน
มีจุดเชื่อมโยงอื่นคือทั้งหมดอยู่ปีสอง  แต่เป็นคนละห้องกัน
หืม...?
ตอนนี้ผมว่าผมคิดออกแล้วนะ...
“อะไรเหรอ?  นายคิดอะไรออกแล้วเหรอ?”
...ผมอาจจะคิดอะไรออกก็จริง  แต่ความคิดผมปลิวปหาซาชิได้ไงกัน  ตกลงตอนนี้ผมอยู่ไหนเนี่ย?
เอาเถอะ  ผมจะเริ่มจากความคิดที่เริ่มปะติดปะต่อของผมแล้วกัน
“ต้องเป็นสัญญาณหรืออะไรซักอย่าง  อย่างเช่น... พวกนั้นอาจจะมีสังคมลับๆระหว่างกัน  เวลามาคืนหนังสือถ้าหงายปกขึ้นหมายถึง  ‘ใช่’  กับถ้าคว่ำปกลงหมายถึง  ‘ไม่’  น่ะ”
“แล้วพวกเค้าติดต่อกันเพื่ออะไรล่ะคะ?”
“มันเป็นแค่ตัวอย่าง  จะเป็นอะไรก็ได้อยู่แล้ว”
จิตันดะเริ่มเอียงศรีษะและขบคิดปัญหานั้น  ใช่แล้ว  เธอแค่เข้าใจเรื่องทั้งหมดอย่างช้าๆเท่านั้น
ทว่าคนที่โต้แย้งผมไม่ใช่จิตันดะ  แต่เป็นอิบาระ
“นั่นน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ  ดูสิ”
อิบาระชี้ไปที่กล่องรับหนังสือคืน  มันบรรจุหนังสือที่กองสุมกันมั่วอยู่  นั่นสินะ  แบบนี้ก็ไม่มีทางบอกได้เลยว่าหนังสือหงายปกขึ้นหรือคว่ำปกลง  คนเดียวที่จะรู้ว่าหนังสือวางแบบไหนจะต้องเปิดกล่องดู  และคนที่ทำอย่างนั้นได้มีเพียงหน้าที่ของบรรณารักษ์ด้วย
ให้ตายสิ  ข้อสันนิษฐานง่ายๆเป็นอันต้องจบลงอย่างง่ายดายเพราะถูกอิบาระยิงเข้าให้ไงล่ะ
ผมคิดอะไรไม่ออกเลย  พวกเขาน่าจะมีกุญแจสำรองไว้เปิดกล่องดู  แต่ผมก็ไม่รู้อยู่ดี  ตอนนี้ถ้ามีตัวช่วยอะไรอยู่บ้าง  ผมมองหนังสือที่ถูกตกแต่งมาอย่างดีในมือของอิบาระและสงสัยว่าผมสามารถหาอะไรในหนังสือนั่นได้บ้าง
ทันใดนั้นจิตันดะก็เข้ามาอยู่ในทัศนวิสัยของผม  เธอเหยียดตัวข้ามเคาน์เตอร์และจ้องหนังสือหนังสือที่อิบาระถือไว้แน่นที่อกเธอ
“เอ๊ะ?  เอ๋?”
อิบาระตะลึงกับปฏิกิริยานั้น  ฉันรู้ว่าเธอรู้สึกยังไงนะ
“อะไรเหรอคุณจิตันดะ?  เจอสัญลักษณ์ที่ซ่อนไว้บนปกหรืออะไรเหรอ?”
จิตันดะยังคงไร้การเคลื่อนไหวและตอบว่า
“...หนังสือนี่...ดูเหมือนจะมีกลิ่นอะไรด้วยค่ะ”
เธอบ่นงึมงัม
“จริงเหรอ?  อิบาระ  ขอยืมนั่นเดี๋ยวสิ? ...ผมไม่ได้กลิ่นอะไรเลยนะ”
“ไม่ค่ะ  มีแน่ๆค่ะ”
“หนังสือมันไม่มีกลิ่นนี่  บางทีคงเป็นกลิ่นหมึกหรือกลิ่นห้องสมุดรึเปล่า?”
จิตันดะส่ายศรีษะกับข้อเสนอแนะของซาโตชิ
ทั้งอิบาระและซาโตชิสลับกันดมหนังสือ  ทว่าไม่ได้กลิ่นอะไร  และทั้งคู่ยกระดับสายตากับศรีษะขึ้นด้วยความสับสน
“ฉันบอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะว่าเป็นกลิ่นอะไร  แต่กลิ่นมันฉุนๆแบบทินเนอร์นะคะ”
 “อย่าพูดอะไรอย่างนั้นสิ”
“เหรอคะ?... แต่ฉันบอกไม่ถูกจริงๆ”
ไม่รู้ว่าอะไรแต่ผมรู้สึกว่าจิตันดะพูดถูก  ยังไงคุณหนูของเรายืนกรานเรื่องนั้นไปแล้วด้วย  และผมก็ไม่เคยคิดด้วยเหมือนกันว่าเธอจะพูดว่าเป็นทินเนอร์น่ะ
ถ้านั่นแค่ทึกทักขึ้นมาล่ะ  งั้น... หืม
...ผมอาจจะได้เรื่องอะไรแล้วก็ได้
แต่ก็อธิบายทั้งหมดได้ยากแฮะ
ขณะที่ผมกำลังคิดว่าจะทำอะไรต่อไป  ทางซาโตชิได้อ่านความคิดผมไปแล้วและเอ่ยว่า  “โฮตาโร่  หน้านายมันฟ้องว่านายได้เรื่องอะไรแล้วใช่มั้ยล่ะ”
“เอ๋?  โอเรกิเป็นงั้นเหรอ?”
อิบาระหันกลับมาจ้องหน้าผมอย่างสงสัย  ผมพยักหน้าและตอบอย่างซื่อสัตย์ ไปว่า
“ประมาณนั้น  ถึงจะไม่แน่ใจก็เถอะ... จิตันดะ  อยากออกกำลังกายหน่อยมั้ย?  ฉันอยากให้เธอไปที่ที่นึงหน่อยน่ะ”
จิตันดะต้องเป็นพวกที่ยังพูดไม่ทันจบต้องพุ่งออกไปก่อนแน่  แต่ซาโตชิรั้งเธอไว้ด้วยรอยยิ้ม
“อย่าโดนหมอนี่หลอกนะคุณจิตันดะ  อย่าไปทำตามคำสั่งโฮตาโร่เลย  เพราะถ้ายิ่งใช้โฮตาโร่จะมีประโยขน์มากกว่าอีกนะ  แล้วนายคิดว่าเป็นที่ไหนกันล่ะฮะ?”
ไอ้บ้าเอ๊ย  ซาโตชิชอบพูดมากเสมอเวลาที่มีอิบาระอยู่ด้วย  แม้ตอนนี้เขาจะไม่ได้สวมหน้ากากแน่ๆผมก็ไม่ได้โกรธอะไร  เป็นเรื่องจริงที่ว่าผมไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ถ้าไม่มีใครทำสิ่งนั้นให้กับผมน่ะนะ
“เฮ้อ  ฉันไปด้วยก็ได้  ที่เราไม่มีคาบพละเพราะว่าฝนตกเลยทำให้ฉันเหลือแรงอยู่อีกนิดหน่อยล่ะนะ”
จิตันดะกระโจนใส่ผมทันทีที่พูดแบบนั้น  และต่อจากนั้น...
“หืม  ฉันว่าฉันไปด้วยดีกว่า  ฉันได้ช็อกแน่ถ้าโอเรกิจัดการแก้ปัญหานี้ได้น่ะ... ฟุคุจัง  ช่วยดูโต๊ะให้ฉันหน่อยได้มั้ย?”
อิบาระเดินออกจากเคาน์เคอร์ระหว่างที่พูดเช่นนั้น  ซาโตชิดูประหลาดใจมากขณะที่ตอบไปว่า  “เออะ  โอเค”  และเดินไปหลังเคาน์เตอร์อย่างเงียบๆ  นานแล้วนะที่ผมไม่ได้เห็นไอ้บ้านี่ซึมแบบนี้น่ะ

หลังจากพอใจกับคำตอบที่เราได้รับแล้ว  พวกเราก็กลับมาที่ห้องสมุดอีกครั้ง
“เป็นไงบ้าง?”
“ฟุคุจัง  โอเรากินี่แปลกเนอะ”
“แน่อยู่แล้ว  เธอไม่รู้เหรอ?”
“หมอนี่คิดออกได้ไงกันเนี่ย...”
เธอดูวุ่นวายขณะที่เธอบ่นงึมงัมว่า  “ได้ไงกัน”  มันราวกับว่าเธอเห็นผมเป็นผู้ชนะมีแสงประกายออกมางั้นแหละ  แม้ว่าผมจะไม่สามารถเปล่งปรกายได้ถ้าไม่มีโชคช่วยล่ะก็นะ
“ฉันน่ะแปลกใจคุณโอเรกิจริงๆนะคะ  อยากรู้จริงๆว่าในหัวคุณมีอะไรอยู่กัน”
ภาพของจิตันดะที่กำลังผ่าหัวผมในห้องใต้ดินเก่าๆระหว่างคืนที่มีพายุฝนฟ้าคะนองแล่นเข้ามาในหัวผม  แค่คิดคิดก็ทำให้ผมสยองแล้วล่ะ  แม้ว่าผมจะไม่ได้พูดออกไป  แต่ความสามารถในการดมกลิ่นขนาดกลิ่นบางๆยังทำได้นี่เป็นปริศนาข้อใหญ่สำหรับผมเลยนะ
“ถ้าเป็นคุณโอเรกิล่ะก็  เขาอาจจะ...”
?  ผมอาจจะอะไร?  กรุณาอย่าบอกฉันนะว่าฉันสามารถใช้เป็นส่วนผสมของสิ่งมีชีวิตไซบอร์กอะไรงี้ได้น่ะ
ระหว่างสลับที่กับอิบาระที่เคาน์เตอร์  ซาชิถามว่า  “งั้น  มาฟังคำอธิบายกันเถอะ  โฮตาโร่  ตกลงพวกนายไปไหรกันมาน่ะ?”
ผมตอบพลางเท้าศอกที่เคาน์เคอร์  “ห้องศิลปะน่ะ”
“ห้องศิลปะ?  ที่ตรงข้ามกับทางออกน่ะเหรอ?”
“เพราะงั้นไงฉันเลยไม่อยากไปน่ะ”
“นายเจออะไรที่นั่นล่ะ?”
“ฟังเอาละกัน”
ผมพูดซ้ำถึงสิ่งที่ได้อธิบายให้กับจิตันดะและอิบาระไปก่อนหน้านี้
“หนังสือนี่ถูกใช้ระหว่างคาบห้ากับหกของทุกวันศุกร์สินะ  บางทีคงมีแค่สองคาบนี้เท่านั้นด้วยซ้ำ  อย่างแรก  ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะหาเวลาใช้หนังสือเล่มใหญ่ขนาดนั้นตอนพักได้หรอก  แล้วก็ตัดเรื่องอ่านมันไปเลยด้วย  ดังนั้นหนังสือนี่ต้องถูกใช้ระหว่างคาบเรียนที่มีนักเรียนต่างห้องแต่ปีเดียวกันมาเรียนด้วยกัน”
ความคิดของผมพามาที่จุดนี้ก่อนจะถูกซาโตชิกขัดให้มันกระจายไป  เป็นเหตุผลเดียวกับการที่จิตันดะจำชื่อผมได้หลังจากเจอกันแค่ครั้งเดียว  และที่ไหรล่ะที่เธอได้เจอกับผม?
“ต้องเป็นคาบพละหรือไม่ก็ศิลบปะเท่านั้น  ไม่สำคัญว่านายจะสังเกตมั้ย  แต่ไม่มีใครจะใช้หนังสือในคาบพละหรอก  ดูที่ปกหนังสือสิ  บางอย่างดูเหมือนกับสะสมไว้ในนี้  นายได้สังเกตสีที่ใช้รึเปล่า?  ผู้หญิงห้าคนนี้ใช้หนังสือสำหรับคาบเรียนของพวกเค้า  และตัดสินใจสลับกันยืมมันทุกสัปดาห์”
ซาโตชิแย้งว่า  “แต่ผมไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเค้าไม่ทำให้จบในครั้งเดียว  ผมหมายถึง  นายก็ยืมหนังสือได้ถึงสองอาทิตย์...”
“หยุดพูดแบบเดียวกับอิบาระเหอะ  นายสองคนนี่ชอบพูดแบบเดียวกันจังนะ  ซาโตชิ  เป็นนายจะเก็บหนังสือที่ไม่ได้อยากอ่านไว้มั้ยล่ะ?  ต้องดีกว่าอยู่แล้วถ้าเอาไปคืนห้องสมุดแทนที่จะแบกกลับบ้านจริงมั้ยล่ะ”
“...นั่นสินะ  แล้วนายให้พวกนั้นไปดูอะไรที่นั่นล่ะ?”
“ตอนนี้นายน่าจะเดาได้อยู่แล้ว  ภาพวาดระบายสีของนักเรียนห้อง  2 – D,  2 – E  และ  2 – F  ที่เรียนศิลปะด้วยกันไง”
ภาพของพวกนั้นมีของที่เหมือนกันอยู่  พวกเขาวาดรูปเพื่อนในห้องของตัวเอง  นั่งข้างโต๊ะที่ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้  และในมือเด็กผู้หญิงแต่ละคนก็ถือหนังสือปกแข็งอย่างดี  “โรงเรียนคามิยาะมะ:  50 ปีที่ก้าวมาด้วยกัน”  ไว้  เป็นงานที่ค่อนข้างละเอียดและงดงาม  ถ้าจะให้พูดให้ถูกคือมีเสนห์เสียมากกว่า
“ยอดเลยโฮตาโร่  แล้วคุณจิตันดะได้กลิ่นอะไรล่ะ”
“ต้องเป็นกลิ่นสีอยู่แล้ว  เธอก็พอรู้แล้วล่ะ  เพราะยังไงห้องศิลปะก็เต้ฒไปด้วยอุปกรณ์ทาสีขนาดนั้น”
ซาโตชิเริ่มปรบมือโดยไร้ช้อกังขาอีกต่อไป
“ว้าว  มหัศจรรย์จริงๆนะเนี่ย  ขอบใจนายมากที่ทำให้ผมฆ่าเวลาที่นี่ได้อย่างมีประโยขน์มากเลยล่ะ”
จิตันดะยิ้มบางๆอย่างเห็นด้วย
“ค่ะ  สนุกมากเลย  รู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วดีนะคะ”
“ฉันไม่แน่ใจนะว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ตั้งแต่ตอนเริ่มน่ะ... แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าโอเรกิคิดออกจริงๆน่ะ!”
ขณะที่ทุกคนดูจะทึ่งมากมาย  ผมกลับรู้สึกต่างออกไป  อิบาระเป็นคนแรกที่คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกตั้งแต่แรก  จิตันดะเป็นคนตัดสินใจที่จะสืบหาความจริงด้วยความสงสัย  และซาโตชิเพีนงแค่ต้องการความบันเทิงเท่านั้น  พวกเขาทั้งหมดแตกต่างกับผม  ขณะที่พวกเขาสามารถปล่อยอารมณ์ออกไปได้เต็มที่  ผมเริ่มจะสงสัยว่าถ้าผมมีปฎิกริยาตอบกลับแบบพวกนั้นในเทศกาลคันยะบ้างจะเป็นยังไง
ผมควรทำยังไงกับความรู้สึกนี้นะ... เฮ้อ  ช่างเถอะ
ฝนดูเหมือนจะตกน้อยลงแล้ว  ดูท่าว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว
ขณะที่ผมเกือบจะคว้ากระเป๋าสะพายของตัวเอง  จิตันดะได้หยุดผมไว้
“อ๊ะ  เรายังไปไม่ได้นะคะ”
“อะไร?  มีอะไรอีกเรอะ?”
ผมเห็นว่าอิบาระกับซาโตชิจ้องผมอยากเยือกเย็น  นี่ผมทำอะไรผิดเรอะ?
“โอเรกิ  ตอนแรกนายมาที่นี่ทำไมกันฮะ?”
เพื่อมาแก้ปริศนาหนังสืออันเป็นที่นิยมที่ไม่มีใครอ่าน...
ไม่  เดี๋ยวสิ  ใช่แล้ว!  กวีนิพนธ์  ซาโตชิหัวเราะ
“มานี่เลย  โฮตาโร่นี่บางทีก็น๊อตหลุดได้นะ”
“บางที?  ฟุคุจัง  นายใจดีไปนะ”
อ๊าก  ฉันแค่โชว์โง่ให้พวกนายสองคนเองนะเฟ้ย
อิบาระทำท่าจะพูดต่อทว่ามีเสียงดังมาจากหลังเคาน์เตอร์
“คุณอิบาระ  ขอบใจมากนะจ้ะ  ตอนนี้เธอกลับบ้านได้แล้วล่ะ”
“อ๊ะ  ค่ะ  กลับมาแล้วเหรอคะอาจารย์อิโทอิคาว่า?”
เป็นครูที่ผมคิดว่าไม่เคยเห็นเธอมาก่อนด้วย  ผมรู้แค่ว่าเธอเป็นหัวหน้าบรรณารักษ์  สำหรับผู้หญิงวัยกลางคนตอนปลาย  เธอถือว่าค่อนข้างเตี้ยทีเดียว  เหลือบดูป้ายชื่อเผยให้เห็นชื่อเต็มของเธอ  -  อิโทอิคาว่า  โยวโกะ
ระหว่างการมาถึงของหัวหน้าบรรณารักษ์  ซาโตชิก็เถามถึงธุระที่มาทันที
“อาจารย์ครับ  ผมฟุคุเบะ  ซาโตชิจากชมรมวรรณกรรมคลาสสิก  เรากำลังวางแผนว่าจะทำกวีนิพนธ์และอยากจะขอดูกวีเก่าๆเป็นตัวอย่าง  แต่เราหามันตามชั้นหนังสือไม่เจอน่ะครับ  ดังนั้นพวกเราจึงอยากหาในห้องเก็บเอกสารได้รึเปล่าครับ?”
“ชมรมวรรณกรรม?... กวีนิพนธ์เหรอ?”
อิโทอิคาว่าดูประหลาดใจจากน้ำเสียงของเธอ  เธอน่าจะรู้ว่าชมรมวรรณกรรมถูกยกเลิกไปแล้วหรืออะไรบางอย่าง
“เธออยู่ชมรมวรรณกรรมเหรอ?  อา... น่าเสียดายนะแต่ในห้องสมุดเท่าที่ฉันรู้ไม่ได้เก็บกวีนิพนธ์ไว้น่ะ”
“เอ๋  งั้นห้องเก็บเอกสารล่ะครับ?”
“ไม่มีที่ไหนเลยล่ะ”
“บางทีอาจจะมองไม่เห็น...”
“ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นไปได้นะจ๊ะ”
แปลก  เธอตอบได้ค่อนข้างมั่นใจเลย  ผมไม่เห็นเหตุผลว่าหัวหน้าบรรณารักษ์จะซ่อนอะไรกับพวกเรา  หรือห้องเก็บของเพิ่งถูกปรับปรุงเมื่อไม่นานนี้?
ระหว่างที่ได้รับคำตอบปฎิเสธ  ซาโตชิก็ไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้
“งั้นเหรอครับ?  เข้าใจล่ะ... จะทำไงดีล่ะฮะคุณจิตันดะ?”
“...นี่เป็นปัญหาจริงๆค่ะ”
จิตันดะมองผมอย่างหดหู่  แม้เธอจะมองผมแบบนั้น  ผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากยักไหล่ไป
“เดี๋ยวเราก็หาเจอเองล่ะน่า  กลับบ้านกันเถอะ”  ผมเอ่ยและขณะที่ผมคว้ากระเป๋าสะพาย  อิบาระพูดอย่างเฉยชาว่า  “นายนี่พอไขปริศนาได้ก็สบายล่ะสิ”
แค่เพราะฉันแก้ปริศนาได้ไม่ได้หมายความว่าฉันจะผ่อนคลายนะ  อิบาระ  ข้อกล่าวหาของเธอมันเห็นเป้าหมายชัดเจนเลยล่ะ  แม้ว่านั่นเป็นสิ่งที่ความผมจะพูด  แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดออกไปอยู่ดี  ผมเลยแค่ยักไหล่ให้
“ค่ะ  คุณพูดถูก  กลับบ้านกันเถอะค่ะ...  เราได้บางอย่างที่คุ้มกับเวลาที่เสียไปบ้างล่ะ”
จิตันดะพูดบางอย่างที่ไม่อาจเข้าใจโดยสิ้นเชิง
เอาเถอะ  ธุระของเราจบแล้ว  ตอนนี้ผมสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่และเดินไปเจอกับฝนที่หยุดตกแล้วและแสงอาทิตย์ที่สาดส่องผ่านม่านเมฆ  ขณะที่ผมหันกลับไปดูรอบๆ  ผมได้ยินจิตันดะกระซิบแบบเดียวกันอีกครั้ง
“ใช่แล้ว  ถ้าเป็นคุณโอเรกิล่ะก็  เขาอาจจะ...”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น