เพราะมันยาวเวอร์!! =[]=
เราว่าคนที่เข้ามาอ่านคงจะเมาไปตัวหนังสือแหงเลยถ้าเข้ามาอ่านอะ =O=
แต่เอาเถอะ ถ้าอ่านแล้วช่วยแสดงตัวว่าอ่านหน่อยก็ดีนะ [แอบน้อยใจลึกๆ ฮึกๆ T^T]
แปลผิดยังไงก็ขออภัย เพราะคนแปลยังงงๆที่ตัวเองแปลไปบ้างเหมือนกัน (เอ๊ะ?) =_=;;
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
2 – การคืนชีพของชมรมวรรณกรรมคลาสิก
ชีวิตช่วงม.ปลายมักถูกเรียกว่าเป็นสีของกุหลาบ ขณะที่ปี 2000 มาถึงจุดสิ้นสุด การมาเยือนของวันที่ตรงกับความหมายตามพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นนิยามไว้อยู่ไม่ไกลแล้ว
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านักเรียนม.ปลายทุกคนจะปราถนาถึงชีวิตสีกุหลาบแบบนั้น ไม่ว่าการเรียน กีฬา หรือความรัก ก็ต้องมีคนที่ชอบชีวิตสีเทามากกว่าสิ่งเหล่านั้น; ผมทราบดีจากการคำนวณของผม แม้กระนั้นมันก็เป็นทางเลือกใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวทีเดียว
ณ ที่นี้ผมกำลังเริ่มการสนทนาเรื่องหัวข้อดังกล่าวกับเพื่อนเก่าของผม ฟุคุเบะ ซาโตชิ ในห้องเรียนที่ถูกฉาบด้วยแสงของอาทิตย์ยามเย็น เหมือนเช่นเคย ซาโตชิจะพกพาใบหน้าเปื้อนยิ้มและพูดว่า “นั่นเป็นเรื่องที่ผมคิดไว้เช่นกัน อีกอย่างผมไม่รู้เลยนะเนี่ยว่านายเป็นพวกมีปมด้อยสินะ”
โชคไม่ดีที่เขาเข้าใจผิด ผมประท้วงไปว่า “นายกำลังจะบอกว่าชีวิตฉันเป็นสีเทา?”
“ผมพูดแบบนั้นเหรอ? แต่ว่านะโฮตาโร่ นายไม่สนซักอย่างทั้งการเรียน กีฬา แล้วอะไรอีกนะ? ความรัก? ผมไม่เคยเห็นนายสนใจอะไรพวกนั้นเลยล่ะ”
“แล้วฉันก็ไม่เคยมองย้อนกลับไปด้วย”
“อืม ก็จริงนะ”
รอยยิ้มของซาโตชิกว้างขึ้น
“ยังไงซะนายก็แค่ ‘ประหยัดพลังงาน’ ไว้เท่านั้นเอง”
ผมยอมรับสิ่งที่ซาโตชิพูดพร้อมกับถอนหายใจ ก็ยังดีที่คุณไม่ได้เข้าใจไปว่าผมเกลียดการทำให้ตัวเองกระฉับกระเฉง ผมแค่ไม่ใช่ชอบบั่นทอนกำลังและพลังงานของตัวเองให้กับสิ่งที่มันน่ารำคาญ วิธีการของผมคือการออมแรงเพื่อให้โลกดีขึ้น หรือก็คือ “ถ้าไม่จำเป็นต้องทำก็จะไม่ทำ ถ้าจำเป็นต้องทำก็รีบๆทำให้เสร็จซะ”
ขณะที่ผมพูดคติประจำตัวเอง ซาโตชิจะยักไหล่ทั้งสองข้างเหมือนอย่างเคย
“ไม่ว่าการออมแรงหรือการไม่เข้าสังคม มันก็ความหมายเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ? นายเคยได้ยินเรื่องอุปกรณ์นิยมมั้ย?”
“ไม่”
“สั้นๆก็ คนแบบนายที่ไม่มีสิ่งสนใจเป็นพิเศษ สังเกตจากการที่นายไม่เข้าร่วมชมรมไหนเลยในคามิยามะ ดินแดนศักสิทธิ์ของกิจกรรมชมรมในโรงรียนมัธยมปลาย ทำให้นายเป็นสีเทาไงล่ะ”
“อะไรนะ? นายจะบอกว่าการตายจากการฆาตรกรรมไม่ได้ต่างจากการตายโดยความประมาทเรอะ?”
ซาโตชิตอบอย่างไม่ลังเล “จากมุมมองบางจุดล่ะก็ ใช่ แต่กระนั้นมันก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถ้านายกำลังพยายามโน้มน้าวให้คนตายที่ความตายของเขามาจากความประมาทของนายเองเพื่อไล่วิญญาณล่ะ”
“...”
เจ้าบ้าหน้าทะเล้น ผมเพ่งมองคนตรงหน้า ฟุคุเบะ ซาโตชิ เพื่อนเก่าของผม คู่ปรับที่น่านับถือและร้ายกาจ ถ้าจะให้พูดสั้นๆเกี่ยวกับเขา แม้กระทั่งในฐานะของนักเรียนม.ปลาย เขาอาจจะดูอ่อนแอเหมือนผู้หญิง แต่ภายในกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันลำบากที่จะอธิบายว่าอะไรที่มันแตกต่าง – ยังไงก็แค่รู้สึกแตกต่างนั่นแหละ นอกจากการพกรอยยิ้มไว้ตลอดเวลาแล้วยังมีถุงเป้ที่พกติดตัวไว้ ตลอดจนหน้าทะเล้นๆนั่นที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขา
การโต้เถียงกับเขาเป็นเพียงการลดทอนพลังงานให้น้อยลงเท่านั้น ผมโบกมือเพื่อเป็นสัญญาณจบการสนทนานี้
“อืม จะอะไรก็แล้วแต่ ได้ฤกษ์กลับบ้านแล้ว”
“นั่นสินะ ผมไม่มีกิจกรรมชมรมอะไรในวันนี้... อาจจะตรงกลับบ้านเลย”
ขณะที่ซาโตชิกำลังบิดเอว ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้และหันกลับมามองผม
“ ‘จะกลับบ้านแล้ว? ’ หายากนะเนี่ยที่จะได้ยินจากนายน่ะ”
“อะไรล่ะ?”
“ถ้ากลับบ้าน ไม่ใช่ว่าทุกทีนายกลับถึงแล้วก่อนพูดประโยคนั้นอีกไม่ใช่รึไง? มีแค่งานอะไรซักอย่างเท่านั้นแหละถึงจะรั้งตัวนายไว้ที่โรงเรียนได้ตอนที่นายไม่ได้เข้าร่วมกับชมรมไหนเลยนี่นา?”
“อา”
ผมเลิกคิ้วและหยิบแผ่นกระดาษจากกระเป๋าเสื้อด้านในฝั่งขวาของเสื้อนักเรียน หลังจากที่ส่งมันให้กับซาโตชิแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ เปล่าหรอก เขาแค่แสดงออกเกินไปก็เท่านั้น มันไม่เหมือนว่าเขาประหลาดใจจริงๆ ถึงอย่างนั้นก็จริงที่ว่าตาเขาเบิกกว้างล่ะ เป็นที่รู้กันว่าซาโตชิมักพูดอะไรเกินจริงเสมอด้วยล่ะ
“อะไรนะ?! เป็นไปได้ไง?!”
“ซาโตชิ ใจเย็นน่า”
“นี่มันใบสมัครชมรมไม่ใช่เหรอ? ผมตกใจจริงๆนะเนี่ย มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกด้วย? โฮตาโร่จะเข้าชมรมจริงๆ...”
ที่จริงมันก็คือใบสมัครชมรมนั่นล่ะ มันเขียนอยู่เหนือชื่อของชมรม ซาโตชิยกระดับสายตาขึ้น
“ชมรมวรรณกรรมคลาสสิก...?”
“เคยได้ยินเหรอ?”
“แน่นอนสิ แต่ทำไมต้องเป็นชมรมวรรณกรรมคลาสสิกล่ะ? นายเจองานวรรณกรรมที่น่าสนใจเข้ารึไง?”
ผมจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย? ผมเกาศรีษะและหยิบแผ่นกระดาษอีกชิ้นจากกระเป๋าเสื้อด้านในฝั่งซ้ายออกมา มันคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ ผมยื่นมันให้กับซาโตชิ
“อ่านสิ”
ซาโตชิคว้าจดหมายและเริ่มอ่านมัน แล้วเริ่มหัวเราะตามที่ผมคาดไว้
“ฮะๆ โฮตาโร่ เป็นปัญหาแน่ๆแล้วล่ะ คำขอร้องจากพี่สาวสินะ หือ? ปิดทางปฏิเสธของนายหมดทุกทางเลยนะนั่น”
ทำไมเขาดูร่าเริงมากเลยนะ? ในทางกลับกันผมรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าขมขื่นอยู่ ไปรษณีย์อากาศจากอินเดียที่มาถึงเมื่อเช้านี้เป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของผม โอเรกิ โทโมเอะเป็นคนแบบนั้นเสมอ การส่งจดหมายมาก็เพื่อทำให้ชีวิตผมไม่เป็นไปตามคาด
‘โฮตาโร่ ปกป้องชมรมวรรณกรรมคลาสสิกของพี่สาวคนนี้หน่อยเถอะ’
ตอนที่ผมเปิดซองแล้วอ่านจดหมายไปผ่านๆ เมื่อเช้า ผมเริ่มเห็นเนื้อหาเอาแต่ใจของมัน ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องความทรงจำของพี่สาว แต่ว่า...
“พี่สาวโฮตาโร่ชำนาญเรื่องอะไรนะ? ยูยิตสูเหรอ?” (ศิลปะการป้องกันตัวแบบหนึ่ง คล้ายยูโด)
“ไอคิโด้กับไตโฮยูยิตสู น่าสงสารคนที่จะมาทำร้ายพี่นะ” (ศิลปะการจับกุมซึ่งได้รับการพัฒนาและนำไปปฏิบัติโดยตำรวจโตเกียว)
ใช่แล้ว พี่สาวของผม นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านวิชาการและศิลปะการต่อสู้ เธอไม่ได้หยุดแค่ชนะการแข่งขันในญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ตัดสินใจออกไปหาความท้าทายที่อื่นด้วยเช่นกัน ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่ถ้าทำให้เธอโกรธ
แล้วขณะที่ผมพยายามต่อต้านความภาคภูมิเล็กๆที่ผมมี จริงอยู่ที่ผมก็มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเธอได้ แต่ก็จริงที่พี่สาวผมชี้ประเด็นให้เห็นอยู่ว่าผมไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ทำอยู่แล้ว ผมตัดสินใจว่าอาจจะเป็นสมาชิกชมรมที่ไม่โดดเด่นมากกว่าการเป็นนักเรียนที่ไม่เข้าสังกัดไหนเลยซักที่ ผมกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ฉันส่งใบสมัครไปเมื่อเช้าแล้ว”
“รู้มั้ยว่ามันหมายความว่าไงน่ะ โฮตาโร่?”
ซาโตชิพูดขณะเหลือบมองมาที่จดหมาย ผมถอนหายและเอ่ยว่า “รู้สิ ไม่มีประโยชน์อะไรจากเจ้านี่เลยใช่มั้ยล่ะ?
“...เปล่า ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
เขาละสายตาจากจดหมาย ซาโตชิพูดด้วยเสียงที่เริงร่าแปลกๆ เขาตบหลังมือที่จดหมายเบาๆและกล่าวว่า “ชมรมวรรณกรรมคลาสสิกตอนนี้ก็ไม่มีสมาชิกด้วยใช่มั้ยล่ะ? ก็หมายความว่าห้องนั้นน่ะเป็นของนายไงล่ะไม่คิดว่าเจ๋งออกเหรอ? มีฐานลับส่วนตัวในโรงเรียนไง”
ฐานลับส่วนตัว?
“...น่าสนใจเหมือนกันนะ”
“ไม่ชอบเหรอ?”
เป็นเหตุผลที่แปลกจริงๆ ซาโตชิพูดว่าผมสามารถที่จะมีฐานลับของตัวเองในโรงเรียนได้ ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนแฮะ ฐานลับงั้นเหรอ? ถึงไม่คิดที่จะตั้งใจทุ่มเทให้มัน...แต่ก็ไม่เลวถ้าได้มาเป็นผลตอบแทนเพิ่มเติมน่ะนะ ผมรับจดหมายคืนจากซาโตชิและตอบว่า “เดาว่ามันก็คงไม่แย่นะ ฉันน่าจะไปดูซะหน่อย”
“ดีเลย โอกาสดีสำหรับนายที่จะได้ลองอะไรใหม่ๆนะ”
โอกาสที่จะได้ลองอะไรใหม่ๆ หือ? อืม ไม่ได้เข้ากับตัวของผมเลย ด้วยเหตุนี้ผมยิ้มอย่างเซ็งๆและหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา
ยังไงผมก็ยึดมั่นในคติของผมอยู่ดี
จากหน้าต่างที่เปิดกว้าง เสียงตะโกนของเหล่าทีมนักกีฬาดังมาแต่ไกล
“... Fight! Fight! Fight!...”
ผมล่ะไม่อยากพาตัวเองไปผลาญพลังงานอย่างสิ้นเปลืองแบบนั้นเลย อย่าเข้าใจผิด ผมไม่ได้พูดว่าการออมพลังงานเป็นตัวเลือกที่ดี ดังนั้นผมไม่คิดว่าหล่าคนกระตือรือร้นแบบนั้นเป็นตัวตลกหรอก ผมมุ่งหน้าไปทางห้องวรรณกรรมคลาสสิกขณะที่ยังได้ยินพวกเขาร้องตะโกนต่อไป
ผมเดินเลาะทางเดินกระเบื้องในตึกและขึ้นบันได้ไปที่ชั้นสาม ระหว่างทางเจอกับภารโรงคนหนึ่งที่ถือบันไดขนาดใหญ่ไว้ ผมถามที่อยู่ของห้องชมรมและบอกว่าให้ไปที่ห้องบรรยายทางธรณีวิทยาชั้นสี่ที่เป็นตึกเฉพาะทาง
โรงเรียนมัธยมปลายคามิยามะนี้น่ะไม่ได้มีนักเรียนมากมายหรือเป็นบริเวณที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
ยอดรวมของนักเรียนประมาณพันคน ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะจัดหลักสูตรเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้เหมือนโรงเรียนส่วนใหญ่ แต่ไม่ได้เป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงอยู่ดี หรือก็คือโรงเรียนม.ปลายธรรมดา ในทางกลับกันโรงเรียนก็มีจำนวนชมรมที่เยอะมาก (อย่างชมรมสีน้ำหรือชมรมร้องเพลงประสานเสียง ตลอดจนชมรมวรรณกรรมคลาสสิกนี่ล่ะ) ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่รู้กันดีว่ากิจกรรมของงานวัฒนธรรมจะเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน
ภายในเขตของโรงเรียนมีตึกใหญ่ๆอยู่สามตึกด้วยกัน ตึกทั่วไปสำหรับนักเรียนปกติ ตึกเฉพาะทางสำหรับห้องที่ต้องมีอุปกรณ์เฉพาะ และโรงยิม นอกจากนี้ยังมีสถานที่ฝึกศิลปะการต่อสู้และห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา ชั้นสี่ของตึกเฉพาะทาง ที่ตั้งของชมรมวรรณกรรมคลาสสิก ช่างเป็นสถานที่ที่ห่างไกลเสียจริง
ระหว่างที่กำลังสาปแช่งการผลาญพลังงานของตัวเองอยู่นั้น ผมเดินข้ามทางกระเบื้องที่เชื่อมกันและขึ้นบันไดไปชั้นที่สี่ ผมพบห้องธรณีวิทยาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ลังเลผมลงมือเปิดประตูแต่พบว่ามันล็อกอยู่ เรื่องนี้ผมคาดไว้แล้วเพราะห้องเฉพาะพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ล็อกกันทั้งนั้น ผมนำกุญแจที่ยืมไว้ก่อนเพื่อเป็นการปะหยัดพลังงานตัวเองออกมาและไขกุญแจประตู
หลังจากแก้ล็อกแล้ว ผมเลื่อนประตูเปิด ภายในห้องธรณีวิทยาอันว่างเปล่า แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามาทางหน้าต่างในทิศตะวันตก
ผมพูดว่าว่างเปล่ารึเปล่า? ไม่ มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้
ภายในห้องธรณีวิทยาที่เต็มไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นหรือห้องของชมรมวรรณกรรมคลาสสิกนั้น ได้มีใครบางคนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
นักเรียนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองมาที่ผม เป็นผู้หญิง
ถึงแม้คำว่า “นุ่มนวล” และ “เรียบร้อย” จะไม่ใช่คำแรกที่เข้ามาในความคิดของผมเมื่อเห็นเธอ แต่ผมก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะบรรยายลักษณะเธอแบบไหนถึงจะเหมาะสม ผมยาวสีดำคลอเคลียอยู่ที่ไหล่และชุดคอปกทหารเรือก็เข้ากับเธอดี ในหมู่ผู้หญิงเธอสูงพอสมควร อาจจะมากกว่าซาโตชิด้วยซ้ำ เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นนักเรียนหญิงมัธยมปลาย ริมฝีปากบางและบุคลิกเดียวดายเสริมภาพนักเรียนม.ปลายสมัยเก่าที่ผมคิดไว้ ในทางตรงข้ามลูกตาดำขนาดใหญ่ของเธอก็งดงามและมีพลังของความกระตือรือร้น
สรุปแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักนั่นเอง
ขณะที่มองผม เธอแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า “สวัสดีค่ะ คุณก็มาเข้าชมรมวรรณกรรมคลาสสิกเหรอคะ คุณโอเรกิ?”
“...เธอเป็นใครน่ะ?”
ผมถามตรงๆ ถึงกระนั้นผมเป็นพวกไม่มีปฏิกิริยาที่ดีกับผู้คน ผมไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติตัวกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกอย่างเย็นชาหรอกนะ แม้ว่าผมจะไม่รู้จักเธอ แต่ดูเหมือนว่าด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจะรู้ว่าผมเป็นใคร
“จำไม่ได้เหรอคะ? จิตันดะค่ะ จิตันดะ เอรุค่ะ”
จิตันดะ เอรุ ทั้งที่เธอได้บอกชื่อกับผมแล้ว ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี อีกอย่างหนึ่งจิตันดะเป็นนามสกุลที่กาได้ยาก และชื่อของเธอคือเอรุ มันเป็นไปไม่ได้มั้งที่ผมจะลืมแม้แต่ชื่อพวกนี้น่ะ
ผมพิจารณาผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าจิตันดะอีกครั้ง หลังจากแน่ใจว่าผมไม่รู้เธอ ผมจึงตอบไปว่า “โทษที จำไม่ได้เลยว่าเธอเป็นใครน่ะ”
ขณะที่เธอยังแย้มยิ้มต่อไป เธอเอียงศรีษะ ดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด
“คุณคือคุณโอเรกิสินะคะ? โอเรกิ โฮตาโร่ห้อง 1-B?”
ผมพยักหน้า
“ฉันอยู่ห้อง 1-A ค่ะ”
ตอนนี้คุณคงจำได้แล้วใช่มั้ยคะ? ดูเหมือนเธอจะบอกอย่างนั้น...นี่ความจำผมแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เดี๋ยวนะ ผมมาจากห้อง B แล้วเธอก็มาจากห้อง A มีวิชาเลือกที่เราเคยเจอกันงั้นเหรอ?
แม้จะอยู่ชั้นเดียวกัน แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กต่างห้องจะมาเจอกัน โอกาสที่จะเจอกันมีแค่เข้าร่วมกิจกรรมชมรมหรือเป็นเพื่อนกันมาก่อน ผมไม่มีทั้งสองอย่าง ถ้างั้นก็ต้องเป็นการรวมนักเรียนทั้งหมด แต่มีแค่ตอนปฐมนิเทศน์เปิดภาคเรียนเท่านั้นที่ผมคิดออก นอกจากนี้ผมไม่คิดว่าผมเคยแนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จักนอกจากในห้องของผมเอง
ไม่ เดี๋ยวก่อน ผมรู้แล้ว นี่แหละ ยังมีโอกาสที่จะทำให้เราเจอกับห้องอื่นระหว่างคาบเรียนอยู่ ถ้ามีเรื่องที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอื่นๆร่วมกันล่ะ ฉะนั้นเลยมีความเป็นไปได้ว่าต้องสอนมากกว่าหนึ่งห้องในเวลาเดียวกัน งั้นคงเป็นพลศึกษาหรือวิชาศิลปะที่ต้องใช้อุปกรณ์ด้วยกัน ในช่วงที่เรียนมัธยมจะมีพวกคาบแนะแนวสายอาชีวะสินะ แต่โรงเรียนนี้ส่วนใหญ่จะเลือกต่อสายสามัญกันเป็นส่วนใหญ่นี่ เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกันสินะ แล้วคาบพละก็เรียนแยกหญิง – ชาย ที่เหลือก็...
“เราเรียนคาบดนตรีด้วยกันใช่มั้ย?”
“ค่ะ นั่นแหละค่ะ!”
จิตันดะผงกหัวแรงๆ
ถึงอย่างไรคำตอบนั้นก็อยู่เหนือความคาดหมายทำให้ผมยังคงประหลาดใจอยู่ดี แต่ขอบอกด้วยว่าความภาคภูมิที่ยังเหลืออยู่เลยว่า ผมได้เรียนวิชาเลือกเพียงแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่ ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะจำหน้าหรือชื่อของคนอื่นได้น่ะ!
แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้หญิงคนนี้ที่เรียกตัวเองว่าจิตันดะสามารถจำผมได้หลังจากเจอกันแค่ครั้งเดียว ฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน... ผมขอบอกเลยว่าเธอต้องมีความจำและการสังเกตสิ่งต่างๆระดับที่น่ากลัวเลยล่ะ
แม้กระนั้นมันอาจเป็นความบังเอิญด้วยก็ได้ ขนาดคนเรายังตีความหมายของบทความที่อ่านในหนังสือพิมพ์ต่างกันได้เลย ผมปรับอารมณ์ให้กลับมาคงที่และถามว่า “แล้วคุณจินตันดะมาทำอะไรที่ห้องธรณีวิยาล่ะฮะ?”
เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ฉันมาสมัครชมรมวรรณกรรมคลาสสิกค่ะ ดังนั้นฉันเลยคิดว่าควรจะมาทักทายคุณน่ะค่ะ”
เข้าร่วมชมรมวรรณกรรมคลาสสิก อีกนัยหนึ่งก็คือเป็นสมาชิกสินะ
ในขณะนั้นผมอยากให้เธอเดาว่าผมรู้สึกอย่างไรจริงๆ ถ้าเธอเข้าร่วมชมรมก็หมายความว่าเป็นจุดจบฐานลับของผมตลอดจนทำให้ภาระที่พี่ฝากผมไว้สำเร็จด้วยเช่นกัน แล้วผมก็จะไม่มีเหตุผลให้เข้าชมรมวรรณกรรมคลาสสิกอีกต่อไป ผมคร่ำควรญในใจ... เป็นความพยายามอย่างไร้ประโยชน์สุด ขณะที่คิดแบบนั้น ผมถามเธอว่า “ทำไมเธอถึงมาเข้าชมรมวรรณกรรมคลาสสิกล่ะ?”
ฉันไม่อยากเข้าชมรมนี้โว้ย! ผมพยายามสื่อเป็นนัยๆไปกับคำถาม แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจมันเลยซักนิด
“คือว่า เป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ”
เธอเลี่ยงที่จะคอบคำถามผมแล้วเปลี่ยนคำถามอย่างปุปปับ จิตันดะ เอรุ คนนี้น่าสงสัยมากเลย
“คุณโอเรกิล่ะคะ?”
“ฉัน?”
ยุ่งละสิ ผมควรตอบเธอว่ายังไงดี? ผมไม่คิดว่าเธอจะเข้าใจที่ผมมาที่นี่เพราะคำสั่งของพี่สาว แต่ขณะที่ผมคิดเรื่องนั้น ผมจึงรู้ว่าเธอไม่ต้องการรู้เหตุผลของผมจริงๆ
ทันใดนั้นประตูถูกเลื่อนเปิดและตามมาด้วยเสียงอันดังว่า “นี่! พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่?”
เป็นอาจารย์คนหนึ่ง อาจกำลังเดินตรวจหลังเลิกเรียนก็เป็นได้ ด้วยร่างกายที่แข็งแรงและผิวสีแทนดูแล้วคงเป็นอาจารย์พละ แม้ว่าเขาไม่ได้ถือดาบไม้ไผ่แต่ก็นึกรูปแบบนั้นได้ไม่ยากเท่าไหร่ ในทางตรงข้ามถ้าเขาเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน เขาก็ยังมีรัศมีอำนาจอยู่รอบๆตัวอยู่ดี
จิตันดะสะดุ้งไปตอนที่ได้ยินเสียงเขาตะโกน แต่ในไม่ช้าก็กลับมาแย้มยิ้มอย่างสงบแล้วหันไปทักทายอาจารย์
“สวัสดีค่ะ อาจารย์โมริชิตะ”
เธอทักทายได้อย่างสมบูรณ์แบบ การคำนับศรีษะด้วยความเร็วและมุมที่เหมาะสม เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงรักษามารายาทได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แต่ก็รู้สึกอิจฉาเธอนิดๆ อาจารย์โมริชิตะตะลึงไปชั่วครู่กับความมีมารยาทจองจิตันดะ แต่ในไม่ช้าก็กลับมาพูดเสียงดังๆอีก
“ฉันเห็นประตูไม่ได้ล็อกเลยมาดูว่ามีอะไรรึเปล่า พวกเธอเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาติได้ยังไง? บอกชื่อกับห้องฉันมาซิ?”
...หืม โดยไม่ได้รับอนุญาติงั้นเรอะ?
“ผมชื่อโอเรกิ โฮตาโร่จากห้อง 1-B ยังไงก็ตามครับอาจารย์ ห้องนี้เป็นห้องของชมรมวรรณกรรมคลาสสิก แล้วผมก็คิดว่าอาจารย์เข้ามาขัดจังหวะเวลาทำกิจกรรมชมรมของเรานะฮะ”
“ชมรมวรรณกรรมคลาสสิก...?”
เขาพูดต่อโดยไม่ปิดบังความสงสัยว่า “ฉันนึกว่าชมรมนี้ปิดไปแล้วซะอีก”
“อ่า มันก็เป็นเรื่องก่อนวันนี้ล่ะฮะ มันถูกเปิดใหม่เมื่อเช้านี้แหละ อาจารย์สามารถไปยืนยันกับอาจารย์ของเราได้ อืม...”
“อาจารย์โออิเดะค่ะ”
“ครับ อาจารย์ไปยืนยันกับอาจารย์โออิเดะได้เลยครับ”
คำอธิบายที่เหมาะสมกับสถาณการณ์ที่สมควร ทำให้โมริชิตะลดระดับเสียงลงโดยทันที
“อ้อ งั้นเองเหรอ ถ่างั้นก็ตามสบายเถอะนะ”
“แต่อาจารย์แค่เห็นเราเองนี่ฮะ”
“แล้วอย่าลืมเอากุญแจไปคืนตอนกลับบ้านล่ะ”
“ครับ ได้ครับ”
โมริชิตะหันกลับมามองเราอีกครั้งก่อนจะปิดประตูอย่างรุนแรง จิตันดะสะดุ้งกับเสียงนั่นอีกครั้ง แล้วกระซิบเสียงแผ่ว “เขา...”
“หืม?”
“เขาค่อนข้างเป็นคนเสียงดังนะคะ”
ผมยิ้ม
อย่างไรก็ตาม
คิดว่าผมคงไม่มีธุระอื่นที่นี่แล้วล่ะ
“เอาล่ะ ตอนนี้เราก็แนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว เราจะกลับกันเลยมั้ย?”
“คะ? เราไม่มีกิจกรรมอะไรวันนี้ใช่มั้ยคะ?”
“อืม ฉันกลับล่ะ”
ผมหยิบกระเป๋าสะพายที่มีสัมภาระไม่มากนักขึ้นมาแล้วหันหลังให้จิตันดะ
“ฉันฝากล็อคประตูด้วยล่ะ เธอคงไม่อยากถูกแผดเสียงใส่แบบนั้นอีกล่ะนะ?”
“เอ๋?”
ผมเดินต่อไปเพื่อจะออกจากห้อง
หรือจะบอกว่าผมกำลังจะออกไป แต่ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงตื่นๆของจิตันดะ
“เดี่ยวค่ะ!
ผมหมุนตัวกลับไปหาจิตันดะ ผู้ราวกับว่าเธอสามารถบอกอะไรที่คาดไม่ถึงได้เสมอและพูดอย่างประหม่าว่า “ฉัน ฉันไม่สามารถล็อกประตูได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฉันไม่มีกุญแจค่ะ”
อ้อใช่ กุญแจอยู่กับผมนี่นา ดูเหมือนว่าไม่ได้มีกุญแจสำรองหลายๆอันให้ยืมใช้สินะ ด้วยเหตุนี้ผมหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงแล้วถือไว้หน้าเธอ
“เอ้า เธอก็รักษา... โทษที ฉันหมายถีง ช่วยดูแลเจ้านี่หน่อยน่ะ คุณจิตันดะ”
แต่จิตันดะไม่ได้พูดตอบ เธอแค่จ้องกุญแจในมือผม และเอียงศรีษะถามว่า “ทำไมคุณโอเรกิถึงมีกุญแจล่ะคะ?”
นี่นอตบางตัวในหัวเธอหายไปรึเปล่า?
“อ้าว ก็ถ้าฉันไม่มีกุญแจก็เข้ามาไม่ได้... เดี๋ยวนะ ให้ตายเหอะ... โทษที คุณจิตันดะเข้ามาในห้องได้ยังไงล่ะ?”
“ตอนฉันเข้ามาประตูมันไม่ได้ล็อกน่ะค่ะ ฉันคิดว่าคงมีใครเข้ามาก่อนเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจน่ะค่ะ”
นั่นสินะ ถ้าเธอไม่ได้รับจดหมายจากอดีตสมาชิกชมรมเหมือนผม เธอก็จะไม่รู้ว่าไม่มีสมาชิกอื่นเลยในชมรมวรรณกรรมคลาสสิก
“งั้นเหรอ? ตอนฉันมาประตูมันล็อกอยู่”
กลายเป็นว่าที่ผมพูดไปแบบนั้นอย่างเฉยเมยเป็นเรื่องที่ผิดพลาดสุดๆ เพราะว่าแววตาของจิตันดะลุกวาวในทันที
นี่ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าลูกตาดำของเธอขยายกว้างขึ้น? เธอถามผมช้าๆโดยไม่สนใจอาการสะดุ้งของผมว่า “ตอนที่คุณพูดว่าประตูถูกล็อกไว้ คุณได้หมายถึงประตูที่คุณเข้ามาใช่มั้ยคะ?”
ขณะที่กำลังสับสนกับการเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงที่นุ่นนวลคนนี้ ผมพยักหน้ารับ ไม่ว่าจะเธอรู้สึกตัวหรือไม่ แต่จิตันดะก้าวเข้ามาหาผมหนึ่งก้าว
“งั้นก็แปลว่าฉันถูกขังอยู่ในห้องนี้สินะคะ?”
เสียงตีไม้ที่ดังชัดเจนของพวกทีมเบสบอลสามารถได้ยินมาจากข้างนอก แม้ว่าผมจะไม่มีธุระอะไรกับห้องนี้แล้ว แต่ดูท่าว่าจิตันดะต้องการจะคุยต่ออีกยาว ผมถอนหายใจอย่างปลงๆและวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะใกล้ๆ
ถูกขังไว้ข้างในเป็นสิ่งที่จิตันดะพูด งั้นเหรอ? ผมคิดเล็กน้อย กุญแจนั้นอยู่กับผมแต่จิตันดะก็อยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว ผมไม่มีความทรงจำว่าได้ล็อกประตูห้องนี้ ถ้างั้นคำตอบก็ง่ายๆแล้ว
“เธอไม่ได้เป็นคนล็อกจากข้างในเองไม่ใช่รึไง?”
แต่จิตันดะส่ยศรีษะและปฏิเสธอย่างชัดเจน
“ฉันไม่เคยทำอย่างนั้นค่ะ”
“ก็กุญแจอยู่ที่ฉัน แล้วยังมีใครนอกจากเธอที่จะล็อกมันได้อีกล่ะ?”
“...”
“เอาเถอะ ต้องมีกันบ้างที่คนจะลืมว่าตัวเองได้ล็อกหรือไม่ล็อกประตูน่ะนะ”
แต่ดูแล้วจิตันดะไม่ได้ให้ความสนใจกับคำอธิบายของผมมากนัก และจู่ๆก็ชี้ไปที่ด้านขวาของผม
“จะว่าไปคนๆนั้นเป็นเพื่อนของคุณรึเปล่าคะ?”
ผมหันกลับไปและพบเงาคอปกเสื้อเครื่องแบบสีดำจากช่องว่างประตูเที่แง้มไว้เล็กน้อย เขาเบือนสายตามาที่ผมพอดี ผมจำตาสีน้ำตาลที่พราวระยับนั่นได้ ฉะนั้นผมจึงยกระดับเสียงขึ้นและเรียกให้เขาออกมา “ซาโตชิ! นายมีงานอดิเรกที่ชอบแอบฟังเรื่องที่คนอื่นเขาคุยกันรึไงฮะ!”
ประตูถูกเปิดออกและก็เป็นไปตามที่ผมคาด คนที่เข้ามาคือฟุคุเบะ ซาโตชิ เขาพูดอย่างไม่อายเลยว่า “แหม โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังซักหน่อยเลยนะ”
“นายอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังไงก็ทำไปแล้วนี่”
“ก็นะ แต่ผมอดเข้ามาดูไม่ได้น่ะว่าคนเฉี่อยชาอย่างโฮตาโร่กำลังอยู่กับเด็กผู้หญิงสองต่อสองในห้องเรียนพิเศษยามโพล้เพล้แบบนี้ ผมไม่อยาลงเอยด้วยการถูกเตะออกไปนี่นา”
เจ้าหมอนี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันนี่ย?
“นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก”
“ช่าย ก็เกือบกลับล่ะนะ แต่แล้วผมก็เห็นนายอยู่กับผู้หญิงคนนี้ในห้องจากชั้นล่าง สงสัยว่าผมยังไม่เชี่ยวชาญในการเป็นพวกถ้ำมองสินะ”
ผมมองข้ามความเห็นของซาโตชิเรื่องที่เห็นเราจากข้างนอก เพราะยังไงก็เป็นวิธีการล้อเล่นแบบปกติอยู่แล้ว แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยเจอมุขบ้าๆแบบนี้อาจจะรับมุขไม่ทันได้
ดูเหมือนว่าจิตันดะจะยังถูกหลอกต่อไป
“เอ๊ะ เอ่อ ฉัน...”
สีหน้าสงบนิ่งก่อนหน้านี้ของเธอได้หายไปแล้วแทนที่ด้วยท่าทางลนลาน ดูท่าว่าเธอคงเป็นประเภทที่สีหน้าจะแสดงทุกอย่างออกมา อย่างตอนนี้ที่มันฟ้องว่า “ดูสิ ฉันรู้สึกลนลานอยู่นะ” กับท่าทางที่ประหม่า แม้ว่าจะสนุกที่เห็นเธอเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่ปล่อยให้มันยาวเกินไป
โชคดีที่ถ้าอยากจะเผยมุขของซาโตชิ สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือการถามไปว่า “นี่พูดจริงรึเปล่าเนี่ย?”
“ไม่อยู่แล้ว”
ฟู่ จิตันดะถอนหายใจอย่างโล่งอก ดังเช่นคติของซาโตชิที่ว่า “จะยิงมุขก็ต้องให้ถูกจังหวะ ถ้าทำให้เข้าใจผิดจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกยกเลิกไปทันที”
“คุณโอเรกิ เค้าคือใครเหรอคะ?”
หลังจากคืนสติจากมุขของซาโตชิ จิตันดะถามอย่างเพลียเล็กๆ ผมว่าควรจะต้องแนะนำซาโตชิให้เธอรู้แล้ว ไม่งั้นเราจะไปไหนต่อไม่ได้ ผมกล่าวสั้นๆ “อ้อ หมอนี่เหรอ? เค้าคือฟคุเบะ ซาโตชิ มนุษย์ตัวปลอมน่ะ”
“ตัวปลอม?”
เป็นการแนะนำที่เหมาะที่สุดแล้ว และซาโตชิก็ดูจะชอบมันเสียด้วย
“ฮะๆ เจ๋งเป้ง โฮตาโร่ ยินดีที่ได้พบครับ แล้วเธอล่ะ?”
“จิตันดะค่ะ จิตันดะ เอรุค่ะ”
ระหว่างที่ได้ยินชื่อของจิตันดะ ซาโตชิมีปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิด มีครั้งหนึ่งที่เขาจะเงียบไว้ แต่สำหรับคนพูดมากอย่างซาโตชิจึงเป็นเรื่องหายากที่เห็นเขาเป็นอย่างนั้น
“ค - คุณจิตันดะ? จิตันดะคนนั้นน่ะเหรอ?”
“หืม? ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงจิตันดะไหนหรอกนะคะ แต่ฉันเชื่อว่าเป็นฉันคนเดียวที่ใช้ชื่อนั้นในโรงเรียนนี้ค่ะ”
“งั้นก็ใช่เลย ผมล่ะตะลึงเลย”
อาการประหลาดตกใจของซาโตชิเป็นของจริงแน่นอน และถ้าเขาประหลาดใจ งั้นผมก็ควรเป็นด้วยสิ ผมไม่เรียนรู้แล้วว่าเพื่อนคนนี้มักมีวิธีค้นพบข้อมูลแปลกๆอยู่เรื่อย ถึงอย่างนั้นอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจล่ะ? ผมเดาไม่ออกจริงๆ
“นี่ ซาโตชิ มีอะไรงั้นเหรอ?”
“อะไรงั้นเหรอ? ผมก็รู้นะว่านายไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวเท่าไหร่ แต่นายกำลังบอกผมว่านายไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลจิตันดะงั้นเรอะ?”
ตอนนี้ซาชิส่ายศรีษะและถอนหายใจเสียยกใหญ่ แน่นอนว่านี่ก็เป็นมุขของซาโตชิอย่างหนึ่ง ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็เป็นคนที่รอบรู้ในเรื่องที่ไร้ประโยชน์อยู่แล้ว ผมไม่อายที่จะไม่เป็นคนงี่เง่าแบบนั้นน่ะนะ
“แล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลของคุณจิตันดะล่ะ?”
ซาโตชิพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเริ่มอธิบาย
“ในเมืองคามิยามะเนี่ย มีครอบครัวเก่าแก่อยู่มากมาย ที่โดดเด่นที่สุดคือพวก ‘ยกกำลังทั้งสี่’ ไงล่ะ ศาลเจ้าอาเรคุสึของตระกูลจูมอนจิ (十文字) ร้านหนังสือตระกูลซารุสุเบริ(百日紅) ที่นาของตระกูลจิตันดะ (千反田) และที่ไหล่เขาของตระกูบมานินบาชิ (万人橋) คันจิตัวแรกของแต่ละตระกูลหมายถึงเลขยกำลังของเลข 10 น่ะ ผู้คนเลยเรียกกันว่า ‘ยกกำลังทั้งสี่’ ไงล่ะ ตระกูลอื่นๆที่สู้กับยกกำลังทั้งสี่ได้ก็มีแค่ตระกูลอิริสุ เจ้าของโรงพยาบาลประจำท้องถิ่น กับตระกูลโทวกาอิโตะที่มีอิทธิพลในเรื่องของการศึกษาน่ะ”
ทำซะผมตะลึงเลย ผมกระพิบตาอย่างไม่ไว้ใจและถามว่า “สี่ตระกูล? ซาโตชิ นี่ล้อเล่นรึเปล่าน่ะ?”
“หยาบคายจริง ผมเคยโกหกไร้สาระแบบนี้เหรอ?”
ถ้าซาโตชิบอกว่าเป็นเรื่องจริง งั้นก็น่าจะใช่ล่ะนะ แต่ว่าตระกูลเก่าแก่ในยุคสมัยนี้เนี่ยนะ? ขณะที่ซาชิยังคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด จิตันดะเข้ามาช่วยซาโตชิ
“เอ่อ ฉันก็เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนนะคะ ถึงแม้ฉันจะไม่แน่ใจว่าตระกูลของฉันมีชื่อเสียงรึเปล่าน่ะค่ะ”
“งั้นก็เรื่องจริง?”
“แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่อง ‘ยกกำลังทั้งสี่’ นี่แหละค่ะ”
ผมหันกลับไปจ้องซาโตชิ เขาเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น
“ผมไม่ได้พูดว่าผมโกหกซะหน่อย”
“แต่ยังไงก็ทำไปแล้วไม่ใช่เรอะ?”
“แหม ก็ผมอยากเป็นคนเริ่มตำนานบ้างอะไรบ้างนี่นา”
ซาโตชิปรบมือแล้วพูดต่อราวกับได้จบหัวข้อเรื่องเก่าไปแล้ว “ยังไงก็เถอะ โฮตาโร่ ตกลงที่นี่มีปัญหาอะไรเหรอ?”
นายนี่มันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ ดังนั้นผมเลยทำให้เรื่องราวมันสั้นลงและอธิบายให้ซาโตชิฟัง
เนื่องจากเริ่มที่จะมืดแล้ว จิตันดะจึงเดินไปเปิดไฟ
หลังจากได้ยินเรื่องราวแล้ว ซาโตชิกอดอกและเริ่มร้องคราง
“หืม แปลกแฮะ”
“ยังไงล่ะ? แค่จิตันดะลืมว่าตัวเองล็อกประตูเองไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่สิ มันแปลกนะ”
ซาโตชิคลายมือที่กอดอกออกและตบมือ
“เมื่อไม่นานมานี้ โรงเรียนได้รับการเรียกร้องเรื่องการเรียกใช้สถานที่ การจัดการห้องเรียนของคามิยามะน่ะน่ารำคาญ ไม่สังเกตเหรอว่าไม่มีห้องเรียนไหนที่นี่เลยที่จะล็อกห้องจากข้างในได้ สาเหตุก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนทำอะไรที่น่าสงสัยกันข้างในยังไงล่ะ”
ขณะที่ซาโตชิอธิบายอย่างภาคภูมิ ความสงสัยก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของผม ผมทราบดีว่าซาโตชิปลื้มที่มีความรู้ในเรื่องสัพเพเหระ แต่ไม่ใช่ว่าเขารู้ค่อนข้างไปหรือเปล่า? ผมว่าเขาเพิ่งเข้าเรียนที่นี่มาได้ไม่ถึงเดือนเลยนะ
“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงเนี่ย?”
“ก็ ผมพยายามซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนเพื่อจะได้ทดลองบางอย่างเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่ก็พบว่าผมล็อกประตูจากด้านในไม่ได้น่ะ”
“รู้มั้ย? ฉันว่าโรงเรียนทำประตูมาแบบนี้ก็เพื่อป้องกันพวกนักเรียนโดยเฉพาะอย่างนายจากการ ‘ทำอะไรที่น่าสงสัย’ ไง”
“นะ ผมก็ว่างั้น”
“นายเดิมพันแล้วนะ”
แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะกัน หลังจากตลกฝืดของเราจบไป จิตันดะก้าวถอยหลังกลับ เห็นอย่างนั้นผมเลยกระแอมและกล่าวต่อว่า ”อืม มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกับการล็อกประตูสินะ มันมืดแล้ว ฉันกลับล่ะ”
ผมลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่
ผมรู้สึกว่ามีใครคว้าไหล่ผมไว้ ผมหันกลับไปและเจอจิตันดะ ผู้มีอิทธิพลบางอย่างที่อยู่นอกเหนือการเข้าใจของผมได้
“เดี๋ยวค่ะ!”
“อะไรอีกล่ะ?”
“ฉันอยากรู้ค่ะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของจิตันดะเคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ผมต้องผงะตัวหนี
“แล้วไง?”
“ทำไมฉันถึงถูกขังไว้ล่ะคะ? ...ถ้าไม่ได้ถูกขังไว้ แล้วฉันเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไงล่ะคะ?”
ดวงตาของจิตันดะแสดงถึงพลังที่เหมือนกับว่ามันจะไม่ยอมรับคำตอบโง่ๆเป็นการตอบสนองกลับไปแน่ ราวกับถูกเจ้าสิ่งนี้ครอบงำ ผมเลยตอบไปอย่างว่าง่ายว่า “แล้ว แล้วมีอะไรล่ะ?”
“ถ้าเกิดมีคนเผลอล็อกจริงๆ เค้าเป็นใครแล้วทำยังไงถึงขังฉันไว้ล่ะคะ?”
“เปล่า ฉันคิดว่าตัวล็อกมันคงผิดปกติอะไรซักอย่าง...”
“ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับเคลื่อนตัวมาด้านหน้าอีก บังคับให้ผมต้องถอยหลังไป
เดิมทีผมคิดว่าจิตันดะเป็นพวกกุลสตรีมารายาทงาม แต่นั่นเป็นเพียงความประทับใจแรกที่ผมเห็นเท่านั้น ซึ่งตอนนี้ผมได้ตระหนักแล้วว่าผมกำลังมองตันตนที่แท้จริงของเธออยู่ โดยเฉพาะดวงตาอันทรงพลังที่เปลี่ยนท่าทีของเธอไปอย่างสิ้นเชิง ดวงตาคู่นั้นสะท้อนให้เห็นนิสัยที่แท้จริงของเธอ “ฉันอยากรู้” ประโยคนั่นออกจากปากของเด็กผู้หญิงจาก “ตระกูลมหาอำนาจ” เพราะความอยากรู้อยากเห็น
“ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นได้กันคะ? คุณโอเรกิกับคุณฟุคุเบะก็ด้วย จะช่วยกันคิดหาคำตอบกันสินะคะ?”
“ทำไมฉันต้อง...”
“เอาเถอะ ดูน่าสนใจดีนะ”
ซาโตชิขัดจังหวะการพูดของผมและตอบรับการเรียกรอ้งของเธอ เนื่องจากเป็นความต้องการของซาโตชิ แต่ว่า “อืม ฉันกลับล่ะ ไม่ได้สนใจด้วยน่ะ”
เป็นการไปอย่างไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม สำหรับผม มันเป็นการบั่นทอนพลังงานตัวเอง และถ้าผมไม่จำเป็นต้องทำก็จะไม่ทำ
ถึงอย่างนั้นซาโตชิที่ควรจะรู้วิธ๊การของผมดีกลับพูดว่า “เอ้า มาช่วยกันเถอะโฮตาโร่ ผมจะทำนะถ้าผมทำได้ แต่นี่อาศัยแค่ฐานข้อมูลของผมอย่างเดียวมาสรุปไม่ได้หรอกนะ”
“ไร้สาระน่า ฉัน...”
ขณะที่ผมจะพูดต่อให้จบ ซาโตชิเหลือบมองไปด้านข้าง มองตามสายตาของซาโตชิ ผมพบกับจิตันดะ
“...อึก”
เธอเม้มริมฝีปากอย่างแน่นหนาและกำชายกระโปรงไว้ เธอเงยหน้าจ้องผม จิตสำนึกของผมบอกว่าให้ถอยห่างจากเธอซะ ถ้าให้เปรีบเทียบความกระตือรือร้นของแต่ละคนล่ะก็ เธอมีไม่แพ้พี่สาวผมเลย มันเป็นการเตือนจากซาโตชิว่า: ผมว่านายน่าจะยอมรับความคิดแปลกๆของเธอนะ
ผมเหลือบมองระหว่างจิตันดะกับซาโตชิ ผมพยักหน้าให้ซาโตชิเบาๆและรับข้อเสนอนั่นมา หาไม่แล้วเราคงเจอกับความโชคร้ายในชีวิตแน่
“...เอาเถอะ ก็น่าสนใจดี จะเก็บไปคิดละกัน”
ผมไม่มีทางเลือกแต่ก็ต้องพูดไปอย่างหน้าตาย อย่างไรก็ตามปฏิกิริยานั้นก็เพียงพอให้จิตันดะถอนสายตากลับไปได้
“คุณโอเรกิคะ คุณมีวิธีแก้ปัญหานี้แล้วรึยังคะ?”
“ปล่อยไว้อย่างนั้นเถอะ โฮตาโร่เป็นพวกชอบคิดก่อนทำน่ะ ยิ่งกว่านั้นถ้าเขาได้คิดซะหน่อยละก็ จะได้ข้อสรุปที่เยี่ยมยอดออกมาเลยล่ะ”
พอหยุดการช่างพูดพวกนั้นแล้ว อย่างไรก็ดีการลงมือทำก่อนคิดน่ะไม่มีทางไปรอดหรอก
แล้วผมก็เริ่มที่จะคิดเรื่องนั้น
ตอนที่จิตันดะเข้ามาในห้อง ล็อกยังเปิดอยู่ แต่เมื่อผมมาถึงมันกลับถูกล็อกไว้
ถ้าเรื่องที่ซาโตชิพูดเชื่อได้แล้ว ไม่มีทางที่จิตันดะจะล็อกประตูจากด้านในได้ อย่างไรก็ตามในทางตรงกันข้าม ถ้าเอาเหตุผลแบบไม่คิดอะไรมากก็เป็นไปได้ว่าเกิดจากการกระทำโดยไม่มีสติ เช่นว่าประตูอยู่ในสภาพกึ่งล็อกตอนที่จิตันดะเข้ามาในห้อง แล้วตัวสปริงในตัวล็อกถูกกระตุ้นด้วยวิธีการบางอย่างหลังจากเธอเข้ามาแล้วขังเธอไว้ในทีสุด
หลังจากอธิบายทฤษฎีนี้ให้ฟัง จิตันดะเอียงศรีษะระหว่างเก็บข้อสันนิษฐานนั้นไปพิจารณา แต่ถึงอย่างนั้นซาโตชิก็ขึ้นเสียงโดยทันทีว่า
“นั่นน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ ไม่มีทางที่ตัวล็อกในคามิยามะจะอยู่ในสภาพกึ่งล็อกได้ตามารตรฐานที่ได้ออกแบบมา ที่สำคัญมันจะไม่อยู่ในสภาพแบบนั้นหรอก”
ไม่มีห้องแบบนั้นงั้นเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น ตัวล็อกคงจะถูกล็อกโดยใครซักคน ด้วยเหตุนั้นผมเลยถามเธอว่า “จำได้มั้ยว่าเธอเข้าห้องมาตอนไหน?”
จิตันดะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “ก่อนคุณโอเรกิประมาณสามนาทีค่ะ”
สามนาที กระชั้นชิดเกินไป ไม่มีเวลาหรอก เพราะห้องธรณีวิทยาอยู่ไกลเกินไปในคามิยามะ
... งั้นก็ยากล่ะสิ ขณะที่ผมเริ่มคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง จู่ๆจิตันดะก็ร้องออกมา “อ๊ะ!”
“มีอะไรเหรอคุณจิตันดะ?”
“ฉันรู้แล้วค่ะ คิดดูสิคะว่าใครที่มีกุญแจ?”
“หา? ใคร?”
จิตันดะยิ้มอย่างสดใส... แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างผมกลับรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับรอยยิ้มนั่นเลย แล้วตามที่คาดไว้คุณผู้หญิงของเราในที่นี้หันมาหาผมพร้อมกล่าวว่า “แน่นอนว่าคุณโอเรกิไงคะ เขามีกุญแจนี่นา”
ตามที่คิดไว้เป๊ะ แทนที่จะตัดสินใจว่านั่นเป็นการอนุมานที่ดี เธอนึกถึงบางอย่างได้และเอ่ยว่า “อ๊ะ แต่เป็นไปได้หรอกมั้ง? คุณโอเรกินี่เป็นพวกไว้ใจไม่ได้เหรอคะ?”
...คุณกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความกังวลของคนตรงหน้าผมใช่มั้ย? ขณะที่ผมยังจนคำพูดอยู่ ซาโตชิหัวเราะและพูดว่า ”อืม ผมก็ไม่รู้ว่าโฮตาโร่เป็นพวกไว้ใจได้รึเปล่าน่ะนะ แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบแกล้งคนอื่นด้วยการขังไว้ข้างในนะ ยังไงก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้นนี่นา”
ตรงจุดนั้น นายรู้จักฉันดีนี่ - ผมจะไม่ทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับตัวผมเอง
ฉะนั้นก็หมายความว่าผมไม่ได้เป็นคนที่ล็อกประตู
แล้ว...งั้นใครล่ะ?
ผมไม่เข้าใจ เลยยกมือขึ้นมาเก่าศรีษะ
ผมไม่มีร่องรอยอะไรเลย ด้วยเหตุผลบางอย่าง ผมรู้สึกผิดขณะที่ถามออกไป “ไม่ดีเลยแบบนี้ เธอมีเบาะแสอะไรมั้ย?”
“เบาะแส? หมายความว่าไงคะ?”
ช่างเป็นคำถามที่ตรงเกินไปจริง
“เบาะแสก็คือเบาะแสนั่นแหละน่า”
ซาโตชิช่วยขยายความที่ผมตอบจิตันดะไป
“บางอย่างที่มันต่างไปจากปกติน่ะฮะ คุณจิตันดะเห็นหรือรู้สึกแปลกๆอะไรบ้างรึเปล่า?”
“หืม เบาะแสที่ว่าเป็นเรื่องนี้เองสินะคะ...”
มีบางอย่างที่ต่างไปรึเปล่า? ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้หวังอะไรมากนัก จิตันดะมองดูรอบๆห้องธรณีวิทยาก่อนจะมองต่ำลงไปแล้วพูดเสียงเบาว่า “เมื่อกี้นี้ฉันได้ยินเสียงจากใต้เท้านี่น่ะค่ะ”
เสียง?
งั้นก็แป็นคนที่ล็อกประตู? ผมไม่มีความคิดเลย
ไม่ ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นล่ะก็?
...งี้นี่เอง ผมเข้าใจแล้ว ซาโตชิสังเกตเห็นการแสดงออกนั่นและกล่าวว่า “โฮตาโร่ คิดอะไรออกแล้วสินะ”
ผมยกกระเป๋าขึ้นบ่าเงียบๆ
“จะ จะไปไหนเหรอคะ คุณโอเรกิ?”
“เราจะไปดูเหตุการณ์นั่นกันอีกครั้งนึง ถ้าโชคดีน่ะนะ”
ผมรู้สึกว่าจิตันดะกำลังตามผมมาอย่างลนลาน และซาโตชิก็อยู่ทางด้านขวาของเธอแน่ ไม่ต้องสงสัยเลย
ตอนนี้ค่อนข้างสายแล้วพราะใกล้จะถึงเวลาปิดประตูโรงเรียนด้วย พวกทีมเบสบอลก็กำลังเก็บอุปกรณ์กันอยู่ จิตันดะกับซาโตชิที่ผมควรจะทิ้งพวกนั้นไปนานแล้ว สุดท้ายก็มากับผมอยู่ดี หรือไม่พวกนั้นก็ตามผมมาเอง
จิตันดะเดินขึ้นมาข้างผมแล้วถามว่า “ตกลงคุณคิดอะไรออกกันคะ บอกเราทีสิ”
ซาโตชิก็ถามจากข้างหลังเช่นกัน “เธอพูดถูกนะ เราสองคนไม่ควรมีความลับต่อกันนะ โฮตาโร่”
หยุดพูดอะไรที่มันน่าสะดิสะเอียนได้แล้ว ผมพูดโดยไม่หันกลับไปว่า “ไม่ใช่ความลับซักหน่อย มันเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องการคำอธิบายมากมายหรอกน่า”
“มันอาจจะง่ายสำหรับคุณโอเรกิ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีล่ะค่ะ”
จิตันดะหน้ามุ่ย... ถึงอย่างนั้นมันก็น่ารำคาญที่จะมานั่งอธิบาย และการหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเธอก็ทำให้ผมเสียพลังงานโดยใช่เหตุด้วย ผมกระชับกระป๋าสะพายและสงสัยว่าจุดไหนที่ผมควรจะเริ่มต้น
“ก็ได้ ถ้าฉันบอกว่าเธอถูกขังจากใครบางคนที่ใช้มาสเตอร์คีย์ (กุญแจหลัก) ล่ะ?”
ทั้งที่ผมได้พูดความจริงส่วนหนึ่งไปแล้ว เสียงของจิตันดะยกระดับเป็นความประหลาดใจ ดูท่าว่าเราต้องเริ่มอธิบายที่นี่แล้วล่ะ
“เอ๊ะ? ยังไงกันคะ?”
“ห้องธรณีวิทยาน่ะสร้างไกลจากตัวโรงเรียน ถ้าใครบางคนจขังเธอไว้ข้างในโดยใข้กุญแจทั่วๆไป เขาจำเป็นต้องกลับไปที่ห้องพักครูก่อนที่ฉันจะยืมมา สามนาทีมันสั้นเกินไปที่จะพยายามทำแบบนั้น”
“อ๋อ ถ้าอย่างงั้นก็ต้องเป็นกุญแจอันอื่นและเนื่องจากเรามีกุญแจสำรองอยู่ ก็จะเหลือตัวเลือกแค่มาสเตอร์คีย์สินะคะ?”
ถูกต้อง และโดยปกติก็เดาไดอยู่แล้วว่านักเรียนธรรมดาไม่สามารถใช้มาสเตอร์คีย์ได้หรอก
นอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงบางอย่างอยู่ด้วย
“คุณจิตันดะบอกว่าได้ยินบางอย่างจากชั้นล่างนี่ใช่มั้ย?”
“ค่ะ”
“ถ้าเสียงนั่นมาจากชั้นล่างของชั้นสี่ เธอจะคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรก?”
ซาโตชิผู้ชิลตลอดตอบว่า “เสียงดังจากเพดานชั้นสามงั้นเหรอ?”
“ใช่ และนั่นเป็นผู้ใช้มาสเตอร์คีย์ของเราเอง”
คนเดียวที่จะซ่อมของต่างๆบนเพดานห้องเรียนหลังหมดเลิกเรียนก็มีแค่...
“ฉันทึ่งไปเลยค่ะว่าคุณคิดออกว่าเป็นภารโรง”
จิตันดะพูดขณะพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
คนที่เราเห็นในชั้นสามนั้นเป็นภารโรงผู้ที่บันไดขนาดใหญ่ไว้ ขณะที่เขาออกจากห้อง เขาวางบันไดไว้ที่พื้นแล้วหยิบกุญแจออกจากกระเป๋า และหน้าสายตาเรา เขาเริ่มที่จะล็อกประตูห้องเรียนในชั้นสามทีละห้องๆ อีกนัยหนึ่งเริ่มแรกเขาปลดล็อกประตูห้องทั้งหมดก่อน แล้วลงมือทำงานของเขาในห้องเรียน และเมื่อเสร็จเรียบร้อย เขาจะกลับมาล็อกพวกมันทั้งหมดอีกรอบ ถ้ามีใครเกิดเข้าไปตอนที่ประตูยังไม่ได้ล็อก ก็โชคร้ายสำหรับคนนั้นที่จะถูกขังอยู่ข้างในไว้... อย่างเช่นจิตันดะคนนี้
อะไรที่ภารโรงทำอยู่ผมไม่รู้หรอก การเข้าไปในทุกๆห้องและถือบันได้อันเบ้อเริ่มไปด้วย ก็เป็นไปได้ว่าเขามาเปลี่ยนหลอดไฟในห้องเรียน หรือบางทีก็มาเช็กความสว่างแสง สัญญาณเตือนไฟไหม้ หรืออะไรเทือกๆนั้น อย่างไรสียคำถามของจิตันดะก็ถูกแก้ไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นก็จบกับเรื่องนี้
“เห็นมั้ย? อย่างที่ผมบอกเลยว่าโฮตาโร่จะคิดออกเองถ้าเขารวมความคิดไว้ด้วยกันน่ะ”
“ใช่เลยค่ะ ฉันล่ะทึ่งเลย”
ผมไม่เห็นตัวเองจะทึ่งอะไรเลย... อย่างไรเสียซาโตชิก็เป็นคนบอกผมเรื่องระบบกุญแจเอง แล้วอีกอย่างจิตันดะก็สังเกตได้ถึงเสียงที่ดังมาจากด้านล่างด้วย ผมกำลังวางแผนที่จะทำเป็นใบ้ต่อ... โอ้ ให้ตาย พวกนั้นสามารถคาดคั้นสิ่งที่ต้องการจากตัวผมได้ อย่างไรก็ตามผมคงถูกสร้างมาเพื่อวิ่งเข้าไปหาปัญหา แต่เมื่อมองไปที่จิตันดะและเห็นประกายความชื่นชมในแววตานั่น ผมเลยกล้ำกลืนความไม่พอใจที่ผมอาจจะมีลงไป
“อืม เอาเถอะ ทั้งที่เธออยู่อาคารเรียนเงียบๆ ฉันล่ะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ยินเสียงล็อคประตู”
ถึงกระนั้นจิตันดะก็ไม่ได้ชมเชยหรือถากถางอะไรอีก เธอเพียงยิ้มเท่านั้น
“อ๋อ ฉันอธิบายได้ค่ะ คือฉัน... ค่ะ ฉันกำลังมองอาคารนั่นอยู่น่ะค่ะ”
เธอพูดและชี้ตรงไปที่อาคารใกล้ๆถนน เป็นโรงฝึกศิลปะการต่อสู้ทำจากไม้ดูโกโรโกโสตามสภาพกาลเวลาอันยาวนาน ผมละสายตาจากอาคารนั่นและบอกความเห็นของผมไปตามตรง “อย่างกับเธอโดนเจ้านั่นสะกดจิตงั้นแหละ”
“เปล่าค่ะ ฉันแค่รู้สึกว่าโรงฝึกนั่นค่อนข้างดูลึกลับน่ะค่ะ”
“หืม”
ผมไม่เห็นว่าโรงฝึกนั่นจะลึกลับตรงไหน แต่ดูเหมือนซาโตชิจะรู้เรื่องบางอย่างขณะที่เขากำลังพึมพำอยู่ “อืม มันดูเก่ามากจริงๆแหละ”
“ค่ะ”
“งั้นเหรอ? ก็อาจจะ ถึงกระนั้นสำหรับเธอที่ใจลอยไปหาโรงฝึกเก่าคร่ำครึนั่น ผมไม่มีความคิดใดๆว่าเธอแค่หลงใหลหรือแค่มองเฉยๆกันแน่
หลังจากนั้นไม่นาน เรามาถึงแยกไฟแดง มีนักเรียนคนอื่นๆที่เพิ่งจะกลับบ้านแบบพวกเราอยู่ด้วยเช่นกัน
“จริงสิคะ เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยสินะคะ”
จิตันดะเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“แนะนำตัว?”
“ค่ะ ก็ยังไงชมรมวรรณกรรมก็จะเริ่มตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ต่อไปคงมีเรื่องสนุกมาอีกเยอะเลยนะคะ”
ชมรมวรรณกรรม! ผมลืมเรื่องนั้นไปเรียบร้อยแล้ว! ผมแค่ไปเพื่อดูห้องชมรม แต่มันก็เปล่าประโยชน์เมื่อจิตันดะได้สมัครชมรมด้วย... แต่เรื่องนั้นก็ทำอะไรในตอนนี้ไม่ได้แล้ว ผมส่งใบสมัครและได้รับการยืนยันไปเรียบร้อยแล้ว ในโรงเรียนนี้น่ะ เป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากชมรมถ้าอยู่ไม่ครบหนึ่งเดือน
ขณะที่ผมก้มศรีษะลง จิตันดะหันกลับไปยิ้มให้กับซาโตชิ
“คุณฟุคะเบะก็จะเข้าชมรมด้วยใช่มั้ยคะ?”
ซาโตชิยกมือขึ้นกอดอกและทำท่าใช้ความคิด แต่ก็ตอบมาอย่างรวดเร็ว่า “อื้ม น่าสนใจดี เอาสิ ผมเอาด้วยคน”
“คุณฟุคุเบะต้องสนุกแน่นอนค่ะ”
“ไม่หรอกๆ ผมน่ะสนุกอยู่ตลอดแหละ... ฝากตัวด้วยนะ โฮตาโร่”
ผมเหลือบมองซาโตชิผู้ตัดสินใจแสดงเป็นเจ้าที่มต่อไป
ขณะที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว ผมเริ่มออกเดินและเอามือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง ผมสัมผัสจดหมายในนั้น มันเป็นจดหมายจากพี่สาวผม ความจริงแล้วตั้งแต่จดหมายของโอเรกิ โทโมเอะมาถึงนั้น ผมก็รู้สึกแล้วล่ะว่าต้องมีบางอย่างเปลี่ยนไป
ตอนนี้พี่เป็นสุขแล้วสินะ? ชมรมวรรณกรรม สถานที่วัยสาวของพี่มีสมาชิกใหม่ด้วยกันสามคนแล้ว ชมรมวรรณกรรมคลาสสิกอันเก่าแก่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วล่ะ นี่อาจเป็นการลาก่อนวันแห่งการประหยัดแรงอันแสนสุขของฉัน ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ...
“อ๊ะ จริงสิคะ เรายังไม่ได้เลือกประธานชมรมเลยนี่นา เอายังไงดีคะ?”
“นั่นสินะ แต่ว่านะโฮตาโร่น่ะไม่เหมาะกับคนที่จะมาเป็นประธานสุดๆเลยด้วย”
เจ้าพวกนี้คงไม่ยอมให้ผมออมแรงต่อไปแน่ ถ้ามีแค่ซาโตชิคนเดียวล่ะก็ ผมยังสามารถจัดการได้อยู่บ้าง แต่ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่..
ดวงตาของเราสบกัน จิตันดะ เอรุแย้มรอยยิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตของเธอ
ปัญหาอยู่ที่คุณหนูคนนี้นี่แหละ ผมแค่รู้สึกอย่างนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น