วันพุธที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2555

[Novel_Hyouka] 2 - The Rebirth of the Traditional Classics Club

ตอนนี้เป็นการแปลที่เหนื่อยมากกกก
เพราะมันยาวเวอร์!! =[]=
เราว่าคนที่เข้ามาอ่านคงจะเมาไปตัวหนังสือแหงเลยถ้าเข้ามาอ่านอะ =O=
แต่เอาเถอะ ถ้าอ่านแล้วช่วยแสดงตัวว่าอ่านหน่อยก็ดีนะ [แอบน้อยใจลึกๆ ฮึกๆ T^T]
แปลผิดยังไงก็ขออภัย เพราะคนแปลยังงงๆที่ตัวเองแปลไปบ้างเหมือนกัน (เอ๊ะ?) =_=;;

-------------------------------------------------------------------------------------------------------

2 – การคืนชีพของชมรมวรรณกรรมคลาสิก

ชีวิตช่วงม.ปลายมักถูกเรียกว่าเป็นสีของกุหลาบ  ขณะที่ปี 2000 มาถึงจุดสิ้นสุด  การมาเยือนของวันที่ตรงกับความหมายตามพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นนิยามไว้อยู่ไม่ไกลแล้ว
อย่างไรก็ตาม  ใช่ว่านักเรียนม.ปลายทุกคนจะปราถนาถึงชีวิตสีกุหลาบแบบนั้น ไม่ว่าการเรียน  กีฬา  หรือความรัก  ก็ต้องมีคนที่ชอบชีวิตสีเทามากกว่าสิ่งเหล่านั้น;  ผมทราบดีจากการคำนวณของผม  แม้กระนั้นมันก็เป็นทางเลือกใช้ชีวิตที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวทีเดียว
ณ ที่นี้ผมกำลังเริ่มการสนทนาเรื่องหัวข้อดังกล่าวกับเพื่อนเก่าของผม  ฟุคุเบะ  ซาโตชิ  ในห้องเรียนที่ถูกฉาบด้วยแสงของอาทิตย์ยามเย็น  เหมือนเช่นเคย  ซาโตชิจะพกพาใบหน้าเปื้อนยิ้มและพูดว่า  “นั่นเป็นเรื่องที่ผมคิดไว้เช่นกัน  อีกอย่างผมไม่รู้เลยนะเนี่ยว่านายเป็นพวกมีปมด้อยสินะ”
โชคไม่ดีที่เขาเข้าใจผิด  ผมประท้วงไปว่า  “นายกำลังจะบอกว่าชีวิตฉันเป็นสีเทา?”
“ผมพูดแบบนั้นเหรอ?  แต่ว่านะโฮตาโร่  นายไม่สนซักอย่างทั้งการเรียน  กีฬา  แล้วอะไรอีกนะ?  ความรัก?  ผมไม่เคยเห็นนายสนใจอะไรพวกนั้นเลยล่ะ”
“แล้วฉันก็ไม่เคยมองย้อนกลับไปด้วย”
“อืม ก็จริงนะ”
รอยยิ้มของซาโตชิกว้างขึ้น
“ยังไงซะนายก็แค่ ‘ประหยัดพลังงาน’ ไว้เท่านั้นเอง”
ผมยอมรับสิ่งที่ซาโตชิพูดพร้อมกับถอนหายใจ  ก็ยังดีที่คุณไม่ได้เข้าใจไปว่าผมเกลียดการทำให้ตัวเองกระฉับกระเฉง  ผมแค่ไม่ใช่ชอบบั่นทอนกำลังและพลังงานของตัวเองให้กับสิ่งที่มันน่ารำคาญ  วิธีการของผมคือการออมแรงเพื่อให้โลกดีขึ้น  หรือก็คือ  “ถ้าไม่จำเป็นต้องทำก็จะไม่ทำ  ถ้าจำเป็นต้องทำก็รีบๆทำให้เสร็จซะ”
ขณะที่ผมพูดคติประจำตัวเอง  ซาโตชิจะยักไหล่ทั้งสองข้างเหมือนอย่างเคย

“ไม่ว่าการออมแรงหรือการไม่เข้าสังคม  มันก็ความหมายเดียวกันอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?  นายเคยได้ยินเรื่องอุปกรณ์นิยมมั้ย?”
“ไม่”
“สั้นๆก็  คนแบบนายที่ไม่มีสิ่งสนใจเป็นพิเศษ  สังเกตจากการที่นายไม่เข้าร่วมชมรมไหนเลยในคามิยามะ  ดินแดนศักสิทธิ์ของกิจกรรมชมรมในโรงรียนมัธยมปลาย  ทำให้นายเป็นสีเทาไงล่ะ”
“อะไรนะ?  นายจะบอกว่าการตายจากการฆาตรกรรมไม่ได้ต่างจากการตายโดยความประมาทเรอะ?”
ซาโตชิตอบอย่างไม่ลังเล  “จากมุมมองบางจุดล่ะก็  ใช่  แต่กระนั้นมันก็ยังแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง  ถ้านายกำลังพยายามโน้มน้าวให้คนตายที่ความตายของเขามาจากความประมาทของนายเองเพื่อไล่วิญญาณล่ะ”
“...”
เจ้าบ้าหน้าทะเล้น  ผมเพ่งมองคนตรงหน้า  ฟุคุเบะ  ซาโตชิ  เพื่อนเก่าของผม  คู่ปรับที่น่านับถือและร้ายกาจ  ถ้าจะให้พูดสั้นๆเกี่ยวกับเขา  แม้กระทั่งในฐานะของนักเรียนม.ปลาย  เขาอาจจะดูอ่อนแอเหมือนผู้หญิง  แต่ภายในกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง  มันลำบากที่จะอธิบายว่าอะไรที่มันแตกต่าง – ยังไงก็แค่รู้สึกแตกต่างนั่นแหละ  นอกจากการพกรอยยิ้มไว้ตลอดเวลาแล้วยังมีถุงเป้ที่พกติดตัวไว้  ตลอดจนหน้าทะเล้นๆนั่นที่เป็นเครื่องหมายการค้าของเขา
การโต้เถียงกับเขาเป็นเพียงการลดทอนพลังงานให้น้อยลงเท่านั้น  ผมโบกมือเพื่อเป็นสัญญาณจบการสนทนานี้
“อืม จะอะไรก็แล้วแต่  ได้ฤกษ์กลับบ้านแล้ว”
“นั่นสินะ  ผมไม่มีกิจกรรมชมรมอะไรในวันนี้... อาจจะตรงกลับบ้านเลย”
ขณะที่ซาโตชิกำลังบิดเอว  ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้และหันกลับมามองผม
“ ‘จะกลับบ้านแล้ว? ’ หายากนะเนี่ยที่จะได้ยินจากนายน่ะ”
“อะไรล่ะ?”
“ถ้ากลับบ้าน  ไม่ใช่ว่าทุกทีนายกลับถึงแล้วก่อนพูดประโยคนั้นอีกไม่ใช่รึไง?  มีแค่งานอะไรซักอย่างเท่านั้นแหละถึงจะรั้งตัวนายไว้ที่โรงเรียนได้ตอนที่นายไม่ได้เข้าร่วมกับชมรมไหนเลยนี่นา?”
“อา”
ผมเลิกคิ้วและหยิบแผ่นกระดาษจากกระเป๋าเสื้อด้านในฝั่งขวาของเสื้อนักเรียน  หลังจากที่ส่งมันให้กับซาโตชิแล้ว  ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ  เปล่าหรอก  เขาแค่แสดงออกเกินไปก็เท่านั้น  มันไม่เหมือนว่าเขาประหลาดใจจริงๆ  ถึงอย่างนั้นก็จริงที่ว่าตาเขาเบิกกว้างล่ะ  เป็นที่รู้กันว่าซาโตชิมักพูดอะไรเกินจริงเสมอด้วยล่ะ
“อะไรนะ?!  เป็นไปได้ไง?!”
“ซาโตชิ  ใจเย็นน่า”
“นี่มันใบสมัครชมรมไม่ใช่เหรอ?  ผมตกใจจริงๆนะเนี่ย  มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นบนโลกด้วย?  โฮตาโร่จะเข้าชมรมจริงๆ...”
ที่จริงมันก็คือใบสมัครชมรมนั่นล่ะ  มันเขียนอยู่เหนือชื่อของชมรม  ซาโตชิยกระดับสายตาขึ้น
“ชมรมวรรณกรรมคลาสสิก...?”
“เคยได้ยินเหรอ?”
“แน่นอนสิ  แต่ทำไมต้องเป็นชมรมวรรณกรรมคลาสสิกล่ะ?  นายเจองานวรรณกรรมที่น่าสนใจเข้ารึไง?”
ผมจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดีล่ะเนี่ย?  ผมเกาศรีษะและหยิบแผ่นกระดาษอีกชิ้นจากกระเป๋าเสื้อด้านในฝั่งซ้ายออกมา  มันคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือหวัดๆ  ผมยื่นมันให้กับซาโตชิ
“อ่านสิ”
ซาโตชิคว้าจดหมายและเริ่มอ่านมัน  แล้วเริ่มหัวเราะตามที่ผมคาดไว้
“ฮะๆ  โฮตาโร่  เป็นปัญหาแน่ๆแล้วล่ะ  คำขอร้องจากพี่สาวสินะ หือ?  ปิดทางปฏิเสธของนายหมดทุกทางเลยนะนั่น”
ทำไมเขาดูร่าเริงมากเลยนะ?  ในทางกลับกันผมรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่าตัวเองกำลังทำหน้าขมขื่นอยู่  ไปรษณีย์อากาศจากอินเดียที่มาถึงเมื่อเช้านี้เป็นความพยายามที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตของผม  โอเรกิ  โทโมเอะเป็นคนแบบนั้นเสมอ  การส่งจดหมายมาก็เพื่อทำให้ชีวิตผมไม่เป็นไปตามคาด
‘โฮตาโร่ ปกป้องชมรมวรรณกรรมคลาสสิกของพี่สาวคนนี้หน่อยเถอะ’
ตอนที่ผมเปิดซองแล้วอ่านจดหมายไปผ่านๆ เมื่อเช้า  ผมเริ่มเห็นเนื้อหาเอาแต่ใจของมัน  ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องความทรงจำของพี่สาว  แต่ว่า...
“พี่สาวโฮตาโร่ชำนาญเรื่องอะไรนะ?  ยูยิตสูเหรอ?”  (ศิลปะการป้องกันตัวแบบหนึ่ง  คล้ายยูโด)
“ไอคิโด้กับไตโฮยูยิตสู  น่าสงสารคนที่จะมาทำร้ายพี่นะ”  (ศิลปะการจับกุมซึ่งได้รับการพัฒนาและนำไปปฏิบัติโดยตำรวจโตเกียว)
ใช่แล้ว  พี่สาวของผม  นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านวิชาการและศิลปะการต่อสู้  เธอไม่ได้หยุดแค่ชนะการแข่งขันในญี่ปุ่นเท่านั้น  แต่ตัดสินใจออกไปหาความท้าทายที่อื่นด้วยเช่นกัน  ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่ถ้าทำให้เธอโกรธ
แล้วขณะที่ผมพยายามต่อต้านความภาคภูมิเล็กๆที่ผมมี  จริงอยู่ที่ผมก็มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเธอได้  แต่ก็จริงที่พี่สาวผมชี้ประเด็นให้เห็นอยู่ว่าผมไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้ทำอยู่แล้ว  ผมตัดสินใจว่าอาจจะเป็นสมาชิกชมรมที่ไม่โดดเด่นมากกว่าการเป็นนักเรียนที่ไม่เข้าสังกัดไหนเลยซักที่  ผมกล่าวอย่างไม่ลังเลว่า  “ฉันส่งใบสมัครไปเมื่อเช้าแล้ว”
“รู้มั้ยว่ามันหมายความว่าไงน่ะ  โฮตาโร่?”
ซาโตชิพูดขณะเหลือบมองมาที่จดหมาย  ผมถอนหายและเอ่ยว่า  “รู้สิ  ไม่มีประโยชน์อะไรจากเจ้านี่เลยใช่มั้ยล่ะ?
“...เปล่า  ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น”
เขาละสายตาจากจดหมาย  ซาโตชิพูดด้วยเสียงที่เริงร่าแปลกๆ  เขาตบหลังมือที่จดหมายเบาๆและกล่าวว่า  “ชมรมวรรณกรรมคลาสสิกตอนนี้ก็ไม่มีสมาชิกด้วยใช่มั้ยล่ะ?  ก็หมายความว่าห้องนั้นน่ะเป็นของนายไงล่ะไม่คิดว่าเจ๋งออกเหรอ?  มีฐานลับส่วนตัวในโรงเรียนไง”
ฐานลับส่วนตัว?
“...น่าสนใจเหมือนกันนะ”
“ไม่ชอบเหรอ?”
เป็นเหตุผลที่แปลกจริงๆ  ซาโตชิพูดว่าผมสามารถที่จะมีฐานลับของตัวเองในโรงเรียนได้  ผมไม่เคยนึกถึงเรื่องนี้มาก่อนแฮะ  ฐานลับงั้นเหรอ?  ถึงไม่คิดที่จะตั้งใจทุ่มเทให้มัน...แต่ก็ไม่เลวถ้าได้มาเป็นผลตอบแทนเพิ่มเติมน่ะนะ  ผมรับจดหมายคืนจากซาโตชิและตอบว่า  “เดาว่ามันก็คงไม่แย่นะ  ฉันน่าจะไปดูซะหน่อย”
“ดีเลย  โอกาสดีสำหรับนายที่จะได้ลองอะไรใหม่ๆนะ”
โอกาสที่จะได้ลองอะไรใหม่ๆ  หือ?  อืม  ไม่ได้เข้ากับตัวของผมเลย  ด้วยเหตุนี้ผมยิ้มอย่างเซ็งๆและหยิบกระเป๋าสะพายขึ้นมา
ยังไงผมก็ยึดมั่นในคติของผมอยู่ดี


จากหน้าต่างที่เปิดกว้าง  เสียงตะโกนของเหล่าทีมนักกีฬาดังมาแต่ไกล
“... Fight! Fight! Fight!...”
ผมล่ะไม่อยากพาตัวเองไปผลาญพลังงานอย่างสิ้นเปลืองแบบนั้นเลย  อย่าเข้าใจผิด  ผมไม่ได้พูดว่าการออมพลังงานเป็นตัวเลือกที่ดี  ดังนั้นผมไม่คิดว่าหล่าคนกระตือรือร้นแบบนั้นเป็นตัวตลกหรอก  ผมมุ่งหน้าไปทางห้องวรรณกรรมคลาสสิกขณะที่ยังได้ยินพวกเขาร้องตะโกนต่อไป                       
ผมเดินเลาะทางเดินกระเบื้องในตึกและขึ้นบันได้ไปที่ชั้นสาม  ระหว่างทางเจอกับภารโรงคนหนึ่งที่ถือบันไดขนาดใหญ่ไว้  ผมถามที่อยู่ของห้องชมรมและบอกว่าให้ไปที่ห้องบรรยายทางธรณีวิทยาชั้นสี่ที่เป็นตึกเฉพาะทาง           
โรงเรียนมัธยมปลายคามิยามะนี้น่ะไม่ได้มีนักเรียนมากมายหรือเป็นบริเวณที่ตั้งของมหาวิทยาลัย
ยอดรวมของนักเรียนประมาณพันคน  ถึงแม้ว่าโรงเรียนจะจัดหลักสูตรเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้เหมือนโรงเรียนส่วนใหญ่  แต่ไม่ได้เป็นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงอยู่ดี  หรือก็คือโรงเรียนม.ปลายธรรมดา  ในทางกลับกันโรงเรียนก็มีจำนวนชมรมที่เยอะมาก  (อย่างชมรมสีน้ำหรือชมรมร้องเพลงประสานเสียง  ตลอดจนชมรมวรรณกรรมคลาสสิกนี่ล่ะ)  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่รู้กันดีว่ากิจกรรมของงานวัฒนธรรมจะเต็มไปด้วยความคึกคักสนุกสนาน     
ภายในเขตของโรงเรียนมีตึกใหญ่ๆอยู่สามตึกด้วยกัน  ตึกทั่วไปสำหรับนักเรียนปกติ  ตึกเฉพาะทางสำหรับห้องที่ต้องมีอุปกรณ์เฉพาะ  และโรงยิม  นอกจากนี้ยังมีสถานที่ฝึกศิลปะการต่อสู้และห้องเก็บอุปกรณ์กีฬา  ชั้นสี่ของตึกเฉพาะทาง  ที่ตั้งของชมรมวรรณกรรมคลาสสิก ช่างเป็นสถานที่ที่ห่างไกลเสียจริง
ระหว่างที่กำลังสาปแช่งการผลาญพลังงานของตัวเองอยู่นั้น  ผมเดินข้ามทางกระเบื้องที่เชื่อมกันและขึ้นบันไดไปชั้นที่สี่  ผมพบห้องธรณีวิทยาอย่างรวดเร็ว  โดยไม่ลังเลผมลงมือเปิดประตูแต่พบว่ามันล็อกอยู่  เรื่องนี้ผมคาดไว้แล้วเพราะห้องเฉพาะพวกนี้ส่วนใหญ่ก็ล็อกกันทั้งนั้น  ผมนำกุญแจที่ยืมไว้ก่อนเพื่อเป็นการปะหยัดพลังงานตัวเองออกมาและไขกุญแจประตู
หลังจากแก้ล็อกแล้ว  ผมเลื่อนประตูเปิด  ภายในห้องธรณีวิทยาอันว่างเปล่า  แสงอาทิตย์ยามเย็นส่องเข้ามาทางหน้าต่างในทิศตะวันตก
ผมพูดว่าว่างเปล่ารึเปล่า?  ไม่  มันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดไว้
ภายในห้องธรณีวิทยาที่เต็มไปด้วยแสงอาทิตย์ยามเย็นหรือห้องของชมรมวรรณกรรมคลาสสิกนั้น  ได้มีใครบางคนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว
นักเรียนที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างมองมาที่ผม  เป็นผู้หญิง                  
ถึงแม้คำว่า  “นุ่มนวล”  และ  “เรียบร้อย”  จะไม่ใช่คำแรกที่เข้ามาในความคิดของผมเมื่อเห็นเธอ  แต่ผมก็คิดไม่ออกแล้วว่าจะบรรยายลักษณะเธอแบบไหนถึงจะเหมาะสม  ผมยาวสีดำคลอเคลียอยู่ที่ไหล่และชุดคอปกทหารเรือก็เข้ากับเธอดี  ในหมู่ผู้หญิงเธอสูงพอสมควร  อาจจะมากกว่าซาโตชิด้วยซ้ำ  เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นนักเรียนหญิงมัธยมปลาย    ริมฝีปากบางและบุคลิกเดียวดายเสริมภาพนักเรียนม.ปลายสมัยเก่าที่ผมคิดไว้  ในทางตรงข้ามลูกตาดำขนาดใหญ่ของเธอก็งดงามและมีพลังของความกระตือรือร้น
สรุปแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่ผมไม่รู้จักนั่นเอง
ขณะที่มองผม  เธอแย้มยิ้มแล้วกล่าวว่า  “สวัสดีค่ะ  คุณก็มาเข้าชมรมวรรณกรรมคลาสสิกเหรอคะ  คุณโอเรกิ?”
“...เธอเป็นใครน่ะ?”
ผมถามตรงๆ  ถึงกระนั้นผมเป็นพวกไม่มีปฏิกิริยาที่ดีกับผู้คน  ผมไม่ได้ตั้งใจปฏิบัติตัวกับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรกอย่างเย็นชาหรอกนะ  แม้ว่าผมจะไม่รู้จักเธอ  แต่ดูเหมือนว่าด้วยเหตุผลบางอย่างเธอจะรู้ว่าผมเป็นใคร
“จำไม่ได้เหรอคะ?  จิตันดะค่ะ  จิตันดะ  เอรุค่ะ”
จิตันดะ  เอรุ  ทั้งที่เธอได้บอกชื่อกับผมแล้ว  ผมก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดี  อีกอย่างหนึ่งจิตันดะเป็นนามสกุลที่กาได้ยาก  และชื่อของเธอคือเอรุ  มันเป็นไปไม่ได้มั้งที่ผมจะลืมแม้แต่ชื่อพวกนี้น่ะ
ผมพิจารณาผู้หญิงที่เรียกตัวเองว่าจิตันดะอีกครั้ง  หลังจากแน่ใจว่าผมไม่รู้เธอ  ผมจึงตอบไปว่า  “โทษที  จำไม่ได้เลยว่าเธอเป็นใครน่ะ”
ขณะที่เธอยังแย้มยิ้มต่อไป  เธอเอียงศรีษะ  ดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด
“คุณคือคุณโอเรกิสินะคะ?  โอเรกิ  โฮตาโร่ห้อง 1-B?”
ผมพยักหน้า
“ฉันอยู่ห้อง 1-A ค่ะ”
ตอนนี้คุณคงจำได้แล้วใช่มั้ยคะ?  ดูเหมือนเธอจะบอกอย่างนั้น...นี่ความจำผมแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ?
เดี๋ยวนะ  ผมมาจากห้อง  B  แล้วเธอก็มาจากห้อง  A  มีวิชาเลือกที่เราเคยเจอกันงั้นเหรอ?
แม้จะอยู่ชั้นเดียวกัน  แต่เป็นไปไม่ได้เลยที่เด็กต่างห้องจะมาเจอกัน  โอกาสที่จะเจอกันมีแค่เข้าร่วมกิจกรรมชมรมหรือเป็นเพื่อนกันมาก่อน  ผมไม่มีทั้งสองอย่าง  ถ้างั้นก็ต้องเป็นการรวมนักเรียนทั้งหมด  แต่มีแค่ตอนปฐมนิเทศน์เปิดภาคเรียนเท่านั้นที่ผมคิดออก  นอกจากนี้ผมไม่คิดว่าผมเคยแนะนำตัวเองให้คนอื่นรู้จักนอกจากในห้องของผมเอง
ไม่  เดี๋ยวก่อน  ผมรู้แล้ว  นี่แหละ  ยังมีโอกาสที่จะทำให้เราเจอกับห้องอื่นระหว่างคาบเรียนอยู่  ถ้ามีเรื่องที่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษอื่นๆร่วมกันล่ะ  ฉะนั้นเลยมีความเป็นไปได้ว่าต้องสอนมากกว่าหนึ่งห้องในเวลาเดียวกัน  งั้นคงเป็นพลศึกษาหรือวิชาศิลปะที่ต้องใช้อุปกรณ์ด้วยกัน  ในช่วงที่เรียนมัธยมจะมีพวกคาบแนะแนวสายอาชีวะสินะ  แต่โรงเรียนนี้ส่วนใหญ่จะเลือกต่อสายสามัญกันเป็นส่วนใหญ่นี่  เรื่องนั้นก็ไม่เกี่ยวกันสินะ  แล้วคาบพละก็เรียนแยกหญิง – ชาย  ที่เหลือก็...
“เราเรียนคาบดนตรีด้วยกันใช่มั้ย?”
“ค่ะ  นั่นแหละค่ะ!”
จิตันดะผงกหัวแรงๆ 
ถึงอย่างไรคำตอบนั้นก็อยู่เหนือความคาดหมายทำให้ผมยังคงประหลาดใจอยู่ดี  แต่ขอบอกด้วยว่าความภาคภูมิที่ยังเหลืออยู่เลยว่า  ผมได้เรียนวิชาเลือกเพียงแค่ครั้งเดียวตั้งแต่เข้าเรียนที่นี่  ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่ผมจะจำหน้าหรือชื่อของคนอื่นได้น่ะ!
แต่ในทางตรงกันข้าม  ผู้หญิงคนนี้ที่เรียกตัวเองว่าจิตันดะสามารถจำผมได้หลังจากเจอกันแค่ครั้งเดียว  ฉะนั้นนี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน...  ผมขอบอกเลยว่าเธอต้องมีความจำและการสังเกตสิ่งต่างๆระดับที่น่ากลัวเลยล่ะ
แม้กระนั้นมันอาจเป็นความบังเอิญด้วยก็ได้  ขนาดคนเรายังตีความหมายของบทความที่อ่านในหนังสือพิมพ์ต่างกันได้เลย  ผมปรับอารมณ์ให้กลับมาคงที่และถามว่า  “แล้วคุณจินตันดะมาทำอะไรที่ห้องธรณีวิยาล่ะฮะ?”
เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว  “ฉันมาสมัครชมรมวรรณกรรมคลาสสิกค่ะ  ดังนั้นฉันเลยคิดว่าควรจะมาทักทายคุณน่ะค่ะ”
เข้าร่วมชมรมวรรณกรรมคลาสสิก  อีกนัยหนึ่งก็คือเป็นสมาชิกสินะ
ในขณะนั้นผมอยากให้เธอเดาว่าผมรู้สึกอย่างไรจริงๆ  ถ้าเธอเข้าร่วมชมรมก็หมายความว่าเป็นจุดจบฐานลับของผมตลอดจนทำให้ภาระที่พี่ฝากผมไว้สำเร็จด้วยเช่นกัน  แล้วผมก็จะไม่มีเหตุผลให้เข้าชมรมวรรณกรรมคลาสสิกอีกต่อไป  ผมคร่ำควรญในใจ...  เป็นความพยายามอย่างไร้ประโยชน์สุด  ขณะที่คิดแบบนั้น  ผมถามเธอว่า  “ทำไมเธอถึงมาเข้าชมรมวรรณกรรมคลาสสิกล่ะ?”
ฉันไม่อยากเข้าชมรมนี้โว้ย!  ผมพยายามสื่อเป็นนัยๆไปกับคำถาม  แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ได้เข้าใจมันเลยซักนิด
“คือว่า  เป็นเหตุผลส่วนตัวน่ะค่ะ”
เธอเลี่ยงที่จะคอบคำถามผมแล้วเปลี่ยนคำถามอย่างปุปปับ  จิตันดะ  เอรุ  คนนี้น่าสงสัยมากเลย
“คุณโอเรกิล่ะคะ?”
“ฉัน?”
ยุ่งละสิ  ผมควรตอบเธอว่ายังไงดี?  ผมไม่คิดว่าเธอจะเข้าใจที่ผมมาที่นี่เพราะคำสั่งของพี่สาว  แต่ขณะที่ผมคิดเรื่องนั้น  ผมจึงรู้ว่าเธอไม่ต้องการรู้เหตุผลของผมจริงๆ
ทันใดนั้นประตูถูกเลื่อนเปิดและตามมาด้วยเสียงอันดังว่า  “นี่!  พวกเธอมาทำอะไรกันที่นี่?”
เป็นอาจารย์คนหนึ่ง  อาจกำลังเดินตรวจหลังเลิกเรียนก็เป็นได้  ด้วยร่างกายที่แข็งแรงและผิวสีแทนดูแล้วคงเป็นอาจารย์พละ  แม้ว่าเขาไม่ได้ถือดาบไม้ไผ่แต่ก็นึกรูปแบบนั้นได้ไม่ยากเท่าไหร่  ในทางตรงข้ามถ้าเขาเคยเป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน  เขาก็ยังมีรัศมีอำนาจอยู่รอบๆตัวอยู่ดี
จิตันดะสะดุ้งไปตอนที่ได้ยินเสียงเขาตะโกน  แต่ในไม่ช้าก็กลับมาแย้มยิ้มอย่างสงบแล้วหันไปทักทายอาจารย์
“สวัสดีค่ะ  อาจารย์โมริชิตะ”
เธอทักทายได้อย่างสมบูรณ์แบบ  การคำนับศรีษะด้วยความเร็วและมุมที่เหมาะสม  เห็นได้ชัดว่าเธอยังคงรักษามารายาทได้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆ  ผมไม่สามารถทำแบบนั้นได้แต่ก็รู้สึกอิจฉาเธอนิดๆ  อาจารย์โมริชิตะตะลึงไปชั่วครู่กับความมีมารยาทจองจิตันดะ  แต่ในไม่ช้าก็กลับมาพูดเสียงดังๆอีก
“ฉันเห็นประตูไม่ได้ล็อกเลยมาดูว่ามีอะไรรึเปล่า  พวกเธอเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาติได้ยังไง?  บอกชื่อกับห้องฉันมาซิ?”
...หืม  โดยไม่ได้รับอนุญาติงั้นเรอะ?
“ผมชื่อโอเรกิ  โฮตาโร่จากห้อง 1-B  ยังไงก็ตามครับอาจารย์  ห้องนี้เป็นห้องของชมรมวรรณกรรมคลาสสิก  แล้วผมก็คิดว่าอาจารย์เข้ามาขัดจังหวะเวลาทำกิจกรรมชมรมของเรานะฮะ”
“ชมรมวรรณกรรมคลาสสิก...?”
เขาพูดต่อโดยไม่ปิดบังความสงสัยว่า  “ฉันนึกว่าชมรมนี้ปิดไปแล้วซะอีก”
“อ่า  มันก็เป็นเรื่องก่อนวันนี้ล่ะฮะ  มันถูกเปิดใหม่เมื่อเช้านี้แหละ  อาจารย์สามารถไปยืนยันกับอาจารย์ของเราได้  อืม...”
“อาจารย์โออิเดะค่ะ”
“ครับ  อาจารย์ไปยืนยันกับอาจารย์โออิเดะได้เลยครับ”
คำอธิบายที่เหมาะสมกับสถาณการณ์ที่สมควร  ทำให้โมริชิตะลดระดับเสียงลงโดยทันที
“อ้อ  งั้นเองเหรอ  ถ่างั้นก็ตามสบายเถอะนะ”
“แต่อาจารย์แค่เห็นเราเองนี่ฮะ”
“แล้วอย่าลืมเอากุญแจไปคืนตอนกลับบ้านล่ะ”
“ครับ  ได้ครับ”
โมริชิตะหันกลับมามองเราอีกครั้งก่อนจะปิดประตูอย่างรุนแรง  จิตันดะสะดุ้งกับเสียงนั่นอีกครั้ง  แล้วกระซิบเสียงแผ่ว  “เขา...”
“หืม?”
“เขาค่อนข้างเป็นคนเสียงดังนะคะ”
ผมยิ้ม
อย่างไรก็ตาม
คิดว่าผมคงไม่มีธุระอื่นที่นี่แล้วล่ะ
“เอาล่ะ  ตอนนี้เราก็แนะนำตัวกันเรียบร้อยแล้ว  เราจะกลับกันเลยมั้ย?”
“คะ?  เราไม่มีกิจกรรมอะไรวันนี้ใช่มั้ยคะ?”
“อืม  ฉันกลับล่ะ”
ผมหยิบกระเป๋าสะพายที่มีสัมภาระไม่มากนักขึ้นมาแล้วหันหลังให้จิตันดะ
“ฉันฝากล็อคประตูด้วยล่ะ  เธอคงไม่อยากถูกแผดเสียงใส่แบบนั้นอีกล่ะนะ?”
“เอ๋?”
ผมเดินต่อไปเพื่อจะออกจากห้อง
หรือจะบอกว่าผมกำลังจะออกไป  แต่ถูกรั้งไว้ด้วยเสียงตื่นๆของจิตันดะ
“เดี่ยวค่ะ!
ผมหมุนตัวกลับไปหาจิตันดะ  ผู้ราวกับว่าเธอสามารถบอกอะไรที่คาดไม่ถึงได้เสมอและพูดอย่างประหม่าว่า  “ฉัน  ฉันไม่สามารถล็อกประตูได้หรอกค่ะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะฉันไม่มีกุญแจค่ะ”
อ้อใช่  กุญแจอยู่กับผมนี่นา  ดูเหมือนว่าไม่ได้มีกุญแจสำรองหลายๆอันให้ยืมใช้สินะ  ด้วยเหตุนี้ผมหยิบกุญแจจากกระเป๋ากางเกงแล้วถือไว้หน้าเธอ
“เอ้า  เธอก็รักษา...  โทษที  ฉันหมายถีง  ช่วยดูแลเจ้านี่หน่อยน่ะ  คุณจิตันดะ”
แต่จิตันดะไม่ได้พูดตอบ  เธอแค่จ้องกุญแจในมือผม  และเอียงศรีษะถามว่า  “ทำไมคุณโอเรกิถึงมีกุญแจล่ะคะ?”
นี่นอตบางตัวในหัวเธอหายไปรึเปล่า?
“อ้าว  ก็ถ้าฉันไม่มีกุญแจก็เข้ามาไม่ได้... เดี๋ยวนะ  ให้ตายเหอะ...  โทษที  คุณจิตันดะเข้ามาในห้องได้ยังไงล่ะ?”
“ตอนฉันเข้ามาประตูมันไม่ได้ล็อกน่ะค่ะ  ฉันคิดว่าคงมีใครเข้ามาก่อนเลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจน่ะค่ะ”
นั่นสินะ  ถ้าเธอไม่ได้รับจดหมายจากอดีตสมาชิกชมรมเหมือนผม  เธอก็จะไม่รู้ว่าไม่มีสมาชิกอื่นเลยในชมรมวรรณกรรมคลาสสิก
“งั้นเหรอ?  ตอนฉันมาประตูมันล็อกอยู่”
กลายเป็นว่าที่ผมพูดไปแบบนั้นอย่างเฉยเมยเป็นเรื่องที่ผิดพลาดสุดๆ  เพราะว่าแววตาของจิตันดะลุกวาวในทันที
นี่ผมคิดไปเองรึเปล่าว่าลูกตาดำของเธอขยายกว้างขึ้น?  เธอถามผมช้าๆโดยไม่สนใจอาการสะดุ้งของผมว่า “ตอนที่คุณพูดว่าประตูถูกล็อกไว้  คุณได้หมายถึงประตูที่คุณเข้ามาใช่มั้ยคะ?”
ขณะที่กำลังสับสนกับการเปลี่ยนแปลงของผู้หญิงที่นุ่นนวลคนนี้  ผมพยักหน้ารับ  ไม่ว่าจะเธอรู้สึกตัวหรือไม่  แต่จิตันดะก้าวเข้ามาหาผมหนึ่งก้าว
“งั้นก็แปลว่าฉันถูกขังอยู่ในห้องนี้สินะคะ?”

เสียงตีไม้ที่ดังชัดเจนของพวกทีมเบสบอลสามารถได้ยินมาจากข้างนอก  แม้ว่าผมจะไม่มีธุระอะไรกับห้องนี้แล้ว  แต่ดูท่าว่าจิตันดะต้องการจะคุยต่ออีกยาว  ผมถอนหายใจอย่างปลงๆและวางกระเป๋าสะพายลงบนโต๊ะใกล้ๆ
ถูกขังไว้ข้างในเป็นสิ่งที่จิตันดะพูด  งั้นเหรอ?  ผมคิดเล็กน้อย  กุญแจนั้นอยู่กับผมแต่จิตันดะก็อยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว  ผมไม่มีความทรงจำว่าได้ล็อกประตูห้องนี้  ถ้างั้นคำตอบก็ง่ายๆแล้ว
“เธอไม่ได้เป็นคนล็อกจากข้างในเองไม่ใช่รึไง?”
แต่จิตันดะส่ยศรีษะและปฏิเสธอย่างชัดเจน
“ฉันไม่เคยทำอย่างนั้นค่ะ”
“ก็กุญแจอยู่ที่ฉัน  แล้วยังมีใครนอกจากเธอที่จะล็อกมันได้อีกล่ะ?”
“...”
“เอาเถอะ  ต้องมีกันบ้างที่คนจะลืมว่าตัวเองได้ล็อกหรือไม่ล็อกประตูน่ะนะ”
แต่ดูแล้วจิตันดะไม่ได้ให้ความสนใจกับคำอธิบายของผมมากนัก  และจู่ๆก็ชี้ไปที่ด้านขวาของผม
“จะว่าไปคนๆนั้นเป็นเพื่อนของคุณรึเปล่าคะ?”
ผมหันกลับไปและพบเงาคอปกเสื้อเครื่องแบบสีดำจากช่องว่างประตูเที่แง้มไว้เล็กน้อย  เขาเบือนสายตามาที่ผมพอดี  ผมจำตาสีน้ำตาลที่พราวระยับนั่นได้  ฉะนั้นผมจึงยกระดับเสียงขึ้นและเรียกให้เขาออกมา  “ซาโตชิ!  นายมีงานอดิเรกที่ชอบแอบฟังเรื่องที่คนอื่นเขาคุยกันรึไงฮะ!”
ประตูถูกเปิดออกและก็เป็นไปตามที่ผมคาด  คนที่เข้ามาคือฟุคุเบะ  ซาโตชิ  เขาพูดอย่างไม่อายเลยว่า  “แหม  โทษทีๆ  ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังซักหน่อยเลยนะ”
“นายอาจไม่ได้ตั้งใจ  แต่ยังไงก็ทำไปแล้วนี่”
“ก็นะ  แต่ผมอดเข้ามาดูไม่ได้น่ะว่าคนเฉี่อยชาอย่างโฮตาโร่กำลังอยู่กับเด็กผู้หญิงสองต่อสองในห้องเรียนพิเศษยามโพล้เพล้แบบนี้  ผมไม่อยาลงเอยด้วยการถูกเตะออกไปนี่นา”
เจ้าหมอนี่กำลังพูดเรื่องอะไรกันนี่ย?
“นึกว่ากลับไปแล้วซะอีก”
“ช่าย  ก็เกือบกลับล่ะนะ  แต่แล้วผมก็เห็นนายอยู่กับผู้หญิงคนนี้ในห้องจากชั้นล่าง  สงสัยว่าผมยังไม่เชี่ยวชาญในการเป็นพวกถ้ำมองสินะ”
ผมมองข้ามความเห็นของซาโตชิเรื่องที่เห็นเราจากข้างนอก  เพราะยังไงก็เป็นวิธีการล้อเล่นแบบปกติอยู่แล้ว  แต่สำหรับคนที่ยังไม่เคยเจอมุขบ้าๆแบบนี้อาจจะรับมุขไม่ทันได้
ดูเหมือนว่าจิตันดะจะยังถูกหลอกต่อไป
“เอ๊ะ  เอ่อ  ฉัน...”
สีหน้าสงบนิ่งก่อนหน้านี้ของเธอได้หายไปแล้วแทนที่ด้วยท่าทางลนลาน  ดูท่าว่าเธอคงเป็นประเภทที่สีหน้าจะแสดงทุกอย่างออกมา  อย่างตอนนี้ที่มันฟ้องว่า  “ดูสิ  ฉันรู้สึกลนลานอยู่นะ”  กับท่าทางที่ประหม่า  แม้ว่าจะสนุกที่เห็นเธอเป็นแบบนั้น  แต่ผมไม่ปล่อยให้มันยาวเกินไป
โชคดีที่ถ้าอยากจะเผยมุขของซาโตชิ  สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือการถามไปว่า  “นี่พูดจริงรึเปล่าเนี่ย?”
“ไม่อยู่แล้ว”
ฟู่  จิตันดะถอนหายใจอย่างโล่งอก    ดังเช่นคติของซาโตชิที่ว่า  “จะยิงมุขก็ต้องให้ถูกจังหวะ  ถ้าทำให้เข้าใจผิดจะกลายเป็นเรื่องที่ถูกยกเลิกไปทันที”
“คุณโอเรกิ  เค้าคือใครเหรอคะ?”
หลังจากคืนสติจากมุขของซาโตชิ  จิตันดะถามอย่างเพลียเล็กๆ  ผมว่าควรจะต้องแนะนำซาโตชิให้เธอรู้แล้ว  ไม่งั้นเราจะไปไหนต่อไม่ได้  ผมกล่าวสั้นๆ  “อ้อ  หมอนี่เหรอ?  เค้าคือฟคุเบะ  ซาโตชิ  มนุษย์ตัวปลอมน่ะ”
“ตัวปลอม?”
เป็นการแนะนำที่เหมาะที่สุดแล้ว  และซาโตชิก็ดูจะชอบมันเสียด้วย
“ฮะๆ  เจ๋งเป้ง  โฮตาโร่  ยินดีที่ได้พบครับ  แล้วเธอล่ะ?”
“จิตันดะค่ะ  จิตันดะ  เอรุค่ะ”
ระหว่างที่ได้ยินชื่อของจิตันดะ  ซาโตชิมีปฏิกิริยาที่ไม่คาดคิด  มีครั้งหนึ่งที่เขาจะเงียบไว้  แต่สำหรับคนพูดมากอย่างซาโตชิจึงเป็นเรื่องหายากที่เห็นเขาเป็นอย่างนั้น
“ค - คุณจิตันดะ?  จิตันดะคนนั้นน่ะเหรอ?”
“หืม?  ฉันไม่รู้ว่าคุณพูดถึงจิตันดะไหนหรอกนะคะ  แต่ฉันเชื่อว่าเป็นฉันคนเดียวที่ใช้ชื่อนั้นในโรงเรียนนี้ค่ะ”
“งั้นก็ใช่เลย  ผมล่ะตะลึงเลย”
อาการประหลาดตกใจของซาโตชิเป็นของจริงแน่นอน  และถ้าเขาประหลาดใจ  งั้นผมก็ควรเป็นด้วยสิ  ผมไม่เรียนรู้แล้วว่าเพื่อนคนนี้มักมีวิธีค้นพบข้อมูลแปลกๆอยู่เรื่อย  ถึงอย่างนั้นอะไรที่ทำให้เขาประหลาดใจล่ะ?  ผมเดาไม่ออกจริงๆ
“นี่  ซาโตชิ  มีอะไรงั้นเหรอ?”
“อะไรงั้นเหรอ?  ผมก็รู้นะว่านายไม่ค่อยมีความรู้รอบตัวเท่าไหร่  แต่นายกำลังบอกผมว่านายไม่เคยได้ยินชื่อตระกูลจิตันดะงั้นเรอะ?”
  ตอนนี้ซาชิส่ายศรีษะและถอนหายใจเสียยกใหญ่  แน่นอนว่านี่ก็เป็นมุขของซาโตชิอย่างหนึ่ง  ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็เป็นคนที่รอบรู้ในเรื่องที่ไร้ประโยชน์อยู่แล้ว  ผมไม่อายที่จะไม่เป็นคนงี่เง่าแบบนั้นน่ะนะ
“แล้วเกี่ยวอะไรกับตระกูลของคุณจิตันดะล่ะ?”
ซาโตชิพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเริ่มอธิบาย
“ในเมืองคามิยามะเนี่ย  มีครอบครัวเก่าแก่อยู่มากมาย  ที่โดดเด่นที่สุดคือพวก  ‘ยกกำลังทั้งสี่’  ไงล่ะ  ศาลเจ้าอาเรคุสึของตระกูลจูมอนจิ (十文字)  ร้านหนังสือตระกูลซารุสุเบริ(百日紅)  ที่นาของตระกูลจิตันดะ (千反田)  และที่ไหล่เขาของตระกูบมานินบาชิ (万人橋)  คันจิตัวแรกของแต่ละตระกูลหมายถึงเลขยกำลังของเลข 10 น่ะ  ผู้คนเลยเรียกกันว่า  ‘ยกกำลังทั้งสี่’  ไงล่ะ  ตระกูลอื่นๆที่สู้กับยกกำลังทั้งสี่ได้ก็มีแค่ตระกูลอิริสุ  เจ้าของโรงพยาบาลประจำท้องถิ่น  กับตระกูลโทวกาอิโตะที่มีอิทธิพลในเรื่องของการศึกษาน่ะ”  
ทำซะผมตะลึงเลย  ผมกระพิบตาอย่างไม่ไว้ใจและถามว่า  “สี่ตระกูล?  ซาโตชิ  นี่ล้อเล่นรึเปล่าน่ะ?”
“หยาบคายจริง  ผมเคยโกหกไร้สาระแบบนี้เหรอ?”
ถ้าซาโตชิบอกว่าเป็นเรื่องจริง  งั้นก็น่าจะใช่ล่ะนะ  แต่ว่าตระกูลเก่าแก่ในยุคสมัยนี้เนี่ยนะ?  ขณะที่ซาชิยังคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวด  จิตันดะเข้ามาช่วยซาโตชิ
“เอ่อ  ฉันก็เคยได้ยินเรื่องนั้นมาก่อนนะคะ  ถึงแม้ฉันจะไม่แน่ใจว่าตระกูลของฉันมีชื่อเสียงรึเปล่าน่ะค่ะ”
“งั้นก็เรื่องจริง?”
“แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินเรื่อง  ‘ยกกำลังทั้งสี่’  นี่แหละค่ะ”
ผมหันกลับไปจ้องซาโตชิ  เขาเพียงยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจเท่านั้น
“ผมไม่ได้พูดว่าผมโกหกซะหน่อย”
“แต่ยังไงก็ทำไปแล้วไม่ใช่เรอะ?”
“แหม  ก็ผมอยากเป็นคนเริ่มตำนานบ้างอะไรบ้างนี่นา”
ซาโตชิปรบมือแล้วพูดต่อราวกับได้จบหัวข้อเรื่องเก่าไปแล้ว  “ยังไงก็เถอะ  โฮตาโร่  ตกลงที่นี่มีปัญหาอะไรเหรอ?”
นายนี่มันชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านจริงๆ  ดังนั้นผมเลยทำให้เรื่องราวมันสั้นลงและอธิบายให้ซาโตชิฟัง

เนื่องจากเริ่มที่จะมืดแล้ว  จิตันดะจึงเดินไปเปิดไฟ
หลังจากได้ยินเรื่องราวแล้ว  ซาโตชิกอดอกและเริ่มร้องคราง
“หืม  แปลกแฮะ”
“ยังไงล่ะ?  แค่จิตันดะลืมว่าตัวเองล็อกประตูเองไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่สิ  มันแปลกนะ”
ซาโตชิคลายมือที่กอดอกออกและตบมือ
“เมื่อไม่นานมานี้  โรงเรียนได้รับการเรียกร้องเรื่องการเรียกใช้สถานที่  การจัดการห้องเรียนของคามิยามะน่ะน่ารำคาญ  ไม่สังเกตเหรอว่าไม่มีห้องเรียนไหนที่นี่เลยที่จะล็อกห้องจากข้างในได้  สาเหตุก็คือเพื่อป้องกันไม่ให้นักเรียนทำอะไรที่น่าสงสัยกันข้างในยังไงล่ะ”
ขณะที่ซาโตชิอธิบายอย่างภาคภูมิ  ความสงสัยก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวของผม  ผมทราบดีว่าซาโตชิปลื้มที่มีความรู้ในเรื่องสัพเพเหระ  แต่ไม่ใช่ว่าเขารู้ค่อนข้างไปหรือเปล่า?  ผมว่าเขาเพิ่งเข้าเรียนที่นี่มาได้ไม่ถึงเดือนเลยนะ
“นายรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงเนี่ย?”
“ก็  ผมพยายามซ่อนตัวอยู่ในห้องเรียนเพื่อจะได้ทดลองบางอย่างเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว  แต่ก็พบว่าผมล็อกประตูจากด้านในไม่ได้น่ะ”
“รู้มั้ย?  ฉันว่าโรงเรียนทำประตูมาแบบนี้ก็เพื่อป้องกันพวกนักเรียนโดยเฉพาะอย่างนายจากการ  ‘ทำอะไรที่น่าสงสัย’  ไง”
“นะ  ผมก็ว่างั้น”
“นายเดิมพันแล้วนะ”
แล้วเราทั้งคู่ก็หัวเราะกัน  หลังจากตลกฝืดของเราจบไป  จิตันดะก้าวถอยหลังกลับ  เห็นอย่างนั้นผมเลยกระแอมและกล่าวต่อว่า  ”อืม  มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องกับการล็อกประตูสินะ  มันมืดแล้ว  ฉันกลับล่ะ”
ผมลุกขึ้นจากโต๊ะที่นั่งอยู่
ผมรู้สึกว่ามีใครคว้าไหล่ผมไว้  ผมหันกลับไปและเจอจิตันดะ  ผู้มีอิทธิพลบางอย่างที่อยู่นอกเหนือการเข้าใจของผมได้
“เดี๋ยวค่ะ!”
“อะไรอีกล่ะ?”
“ฉันอยากรู้ค่ะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของจิตันดะเคลื่อนเข้ามาใกล้ทำให้ผมต้องผงะตัวหนี
“แล้วไง?”
“ทำไมฉันถึงถูกขังไว้ล่ะคะ?  ...ถ้าไม่ได้ถูกขังไว้  แล้วฉันเข้ามาในห้องนี้ได้ยังไงล่ะคะ?”
ดวงตาของจิตันดะแสดงถึงพลังที่เหมือนกับว่ามันจะไม่ยอมรับคำตอบโง่ๆเป็นการตอบสนองกลับไปแน่  ราวกับถูกเจ้าสิ่งนี้ครอบงำ  ผมเลยตอบไปอย่างว่าง่ายว่า  “แล้ว  แล้วมีอะไรล่ะ?”
“ถ้าเกิดมีคนเผลอล็อกจริงๆ  เค้าเป็นใครแล้วทำยังไงถึงขังฉันไว้ล่ะคะ?”
“เปล่า  ฉันคิดว่าตัวล็อกมันคงผิดปกติอะไรซักอย่าง...”
“ฉันอดสงสัยไม่ได้จริงๆค่ะ”
เธอพูดพร้อมกับเคลื่อนตัวมาด้านหน้าอีก  บังคับให้ผมต้องถอยหลังไป
เดิมทีผมคิดว่าจิตันดะเป็นพวกกุลสตรีมารายาทงาม  แต่นั่นเป็นเพียงความประทับใจแรกที่ผมเห็นเท่านั้น  ซึ่งตอนนี้ผมได้ตระหนักแล้วว่าผมกำลังมองตันตนที่แท้จริงของเธออยู่  โดยเฉพาะดวงตาอันทรงพลังที่เปลี่ยนท่าทีของเธอไปอย่างสิ้นเชิง  ดวงตาคู่นั้นสะท้อนให้เห็นนิสัยที่แท้จริงของเธอ  “ฉันอยากรู้”  ประโยคนั่นออกจากปากของเด็กผู้หญิงจาก  “ตระกูลมหาอำนาจ”  เพราะความอยากรู้อยากเห็น
“ทำไมเรื่องนี้ถึงเกิดขึ้นได้กันคะ?  คุณโอเรกิกับคุณฟุคุเบะก็ด้วย  จะช่วยกันคิดหาคำตอบกันสินะคะ?”
“ทำไมฉันต้อง...”
“เอาเถอะ  ดูน่าสนใจดีนะ”
ซาโตชิขัดจังหวะการพูดของผมและตอบรับการเรียกรอ้งของเธอ  เนื่องจากเป็นความต้องการของซาโตชิ  แต่ว่า  “อืม  ฉันกลับล่ะ  ไม่ได้สนใจด้วยน่ะ”
เป็นการไปอย่างไม่มีคำอธิบายเพิ่มเติม  สำหรับผม  มันเป็นการบั่นทอนพลังงานตัวเอง  และถ้าผมไม่จำเป็นต้องทำก็จะไม่ทำ
ถึงอย่างนั้นซาโตชิที่ควรจะรู้วิธ๊การของผมดีกลับพูดว่า  “เอ้า  มาช่วยกันเถอะโฮตาโร่  ผมจะทำนะถ้าผมทำได้  แต่นี่อาศัยแค่ฐานข้อมูลของผมอย่างเดียวมาสรุปไม่ได้หรอกนะ”
“ไร้สาระน่า  ฉัน...”
ขณะที่ผมจะพูดต่อให้จบ  ซาโตชิเหลือบมองไปด้านข้าง  มองตามสายตาของซาโตชิ  ผมพบกับจิตันดะ
“...อึก”
เธอเม้มริมฝีปากอย่างแน่นหนาและกำชายกระโปรงไว้  เธอเงยหน้าจ้องผม  จิตสำนึกของผมบอกว่าให้ถอยห่างจากเธอซะ  ถ้าให้เปรีบเทียบความกระตือรือร้นของแต่ละคนล่ะก็  เธอมีไม่แพ้พี่สาวผมเลย  มันเป็นการเตือนจากซาโตชิว่า:  ผมว่านายน่าจะยอมรับความคิดแปลกๆของเธอนะ 
ผมเหลือบมองระหว่างจิตันดะกับซาโตชิ  ผมพยักหน้าให้ซาโตชิเบาๆและรับข้อเสนอนั่นมา  หาไม่แล้วเราคงเจอกับความโชคร้ายในชีวิตแน่
“...เอาเถอะ  ก็น่าสนใจดี  จะเก็บไปคิดละกัน”
ผมไม่มีทางเลือกแต่ก็ต้องพูดไปอย่างหน้าตาย  อย่างไรก็ตามปฏิกิริยานั้นก็เพียงพอให้จิตันดะถอนสายตากลับไปได้
“คุณโอเรกิคะ  คุณมีวิธีแก้ปัญหานี้แล้วรึยังคะ?”
“ปล่อยไว้อย่างนั้นเถอะ  โฮตาโร่เป็นพวกชอบคิดก่อนทำน่ะ  ยิ่งกว่านั้นถ้าเขาได้คิดซะหน่อยละก็ จะได้ข้อสรุปที่เยี่ยมยอดออกมาเลยล่ะ”
พอหยุดการช่างพูดพวกนั้นแล้ว  อย่างไรก็ดีการลงมือทำก่อนคิดน่ะไม่มีทางไปรอดหรอก
แล้วผมก็เริ่มที่จะคิดเรื่องนั้น

ตอนที่จิตันดะเข้ามาในห้อง  ล็อกยังเปิดอยู่  แต่เมื่อผมมาถึงมันกลับถูกล็อกไว้
ถ้าเรื่องที่ซาโตชิพูดเชื่อได้แล้ว  ไม่มีทางที่จิตันดะจะล็อกประตูจากด้านในได้  อย่างไรก็ตามในทางตรงกันข้าม  ถ้าเอาเหตุผลแบบไม่คิดอะไรมากก็เป็นไปได้ว่าเกิดจากการกระทำโดยไม่มีสติ  เช่นว่าประตูอยู่ในสภาพกึ่งล็อกตอนที่จิตันดะเข้ามาในห้อง  แล้วตัวสปริงในตัวล็อกถูกกระตุ้นด้วยวิธีการบางอย่างหลังจากเธอเข้ามาแล้วขังเธอไว้ในทีสุด
หลังจากอธิบายทฤษฎีนี้ให้ฟัง  จิตันดะเอียงศรีษะระหว่างเก็บข้อสันนิษฐานนั้นไปพิจารณา  แต่ถึงอย่างนั้นซาโตชิก็ขึ้นเสียงโดยทันทีว่า
“นั่นน่ะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ  ไม่มีทางที่ตัวล็อกในคามิยามะจะอยู่ในสภาพกึ่งล็อกได้ตามารตรฐานที่ได้ออกแบบมา  ที่สำคัญมันจะไม่อยู่ในสภาพแบบนั้นหรอก”
ไม่มีห้องแบบนั้นงั้นเหรอ?
ถ้าอย่างนั้น  ตัวล็อกคงจะถูกล็อกโดยใครซักคน  ด้วยเหตุนั้นผมเลยถามเธอว่า  “จำได้มั้ยว่าเธอเข้าห้องมาตอนไหน?”
จิตันดะครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า  “ก่อนคุณโอเรกิประมาณสามนาทีค่ะ”
สามนาที  กระชั้นชิดเกินไป  ไม่มีเวลาหรอก  เพราะห้องธรณีวิทยาอยู่ไกลเกินไปในคามิยามะ
... งั้นก็ยากล่ะสิ  ขณะที่ผมเริ่มคิดทบทวนใหม่อีกครั้ง  จู่ๆจิตันดะก็ร้องออกมา  “อ๊ะ!”
“มีอะไรเหรอคุณจิตันดะ?”
“ฉันรู้แล้วค่ะ  คิดดูสิคะว่าใครที่มีกุญแจ?”
“หา?  ใคร?”
จิตันดะยิ้มอย่างสดใส... แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างผมกลับรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับรอยยิ้มนั่นเลย  แล้วตามที่คาดไว้คุณผู้หญิงของเราในที่นี้หันมาหาผมพร้อมกล่าวว่า  “แน่นอนว่าคุณโอเรกิไงคะ  เขามีกุญแจนี่นา”
ตามที่คิดไว้เป๊ะ  แทนที่จะตัดสินใจว่านั่นเป็นการอนุมานที่ดี  เธอนึกถึงบางอย่างได้และเอ่ยว่า  “อ๊ะ  แต่เป็นไปได้หรอกมั้ง?  คุณโอเรกินี่เป็นพวกไว้ใจไม่ได้เหรอคะ?”
...คุณกำลังจะพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความกังวลของคนตรงหน้าผมใช่มั้ย?  ขณะที่ผมยังจนคำพูดอยู่  ซาโตชิหัวเราะและพูดว่า  ”อืม  ผมก็ไม่รู้ว่าโฮตาโร่เป็นพวกไว้ใจได้รึเปล่าน่ะนะ  แต่ผมไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบแกล้งคนอื่นด้วยการขังไว้ข้างในนะ  ยังไงก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการทำแบบนั้นนี่นา”
ตรงจุดนั้น  นายรู้จักฉันดีนี่  -  ผมจะไม่ทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้ประโยชน์อะไรกับตัวผมเอง
ฉะนั้นก็หมายความว่าผมไม่ได้เป็นคนที่ล็อกประตู
แล้ว...งั้นใครล่ะ?
ผมไม่เข้าใจ  เลยยกมือขึ้นมาเก่าศรีษะ
ผมไม่มีร่องรอยอะไรเลย  ด้วยเหตุผลบางอย่าง  ผมรู้สึกผิดขณะที่ถามออกไป  “ไม่ดีเลยแบบนี้  เธอมีเบาะแสอะไรมั้ย?”
“เบาะแส?  หมายความว่าไงคะ?”
ช่างเป็นคำถามที่ตรงเกินไปจริง
“เบาะแสก็คือเบาะแสนั่นแหละน่า”
ซาโตชิช่วยขยายความที่ผมตอบจิตันดะไป
“บางอย่างที่มันต่างไปจากปกติน่ะฮะ  คุณจิตันดะเห็นหรือรู้สึกแปลกๆอะไรบ้างรึเปล่า?”
“หืม  เบาะแสที่ว่าเป็นเรื่องนี้เองสินะคะ...”
มีบางอย่างที่ต่างไปรึเปล่า?  ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้หวังอะไรมากนัก  จิตันดะมองดูรอบๆห้องธรณีวิทยาก่อนจะมองต่ำลงไปแล้วพูดเสียงเบาว่า  “เมื่อกี้นี้ฉันได้ยินเสียงจากใต้เท้านี่น่ะค่ะ”
เสียง?
งั้นก็แป็นคนที่ล็อกประตู?  ผมไม่มีความคิดเลย
ไม่  ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นล่ะก็?
...งี้นี่เอง  ผมเข้าใจแล้ว  ซาโตชิสังเกตเห็นการแสดงออกนั่นและกล่าวว่า  “โฮตาโร่  คิดอะไรออกแล้วสินะ”
ผมยกกระเป๋าขึ้นบ่าเงียบๆ
“จะ  จะไปไหนเหรอคะ  คุณโอเรกิ?”
“เราจะไปดูเหตุการณ์นั่นกันอีกครั้งนึง  ถ้าโชคดีน่ะนะ”
ผมรู้สึกว่าจิตันดะกำลังตามผมมาอย่างลนลาน  และซาโตชิก็อยู่ทางด้านขวาของเธอแน่  ไม่ต้องสงสัยเลย

ตอนนี้ค่อนข้างสายแล้วพราะใกล้จะถึงเวลาปิดประตูโรงเรียนด้วย  พวกทีมเบสบอลก็กำลังเก็บอุปกรณ์กันอยู่  จิตันดะกับซาโตชิที่ผมควรจะทิ้งพวกนั้นไปนานแล้ว  สุดท้ายก็มากับผมอยู่ดี  หรือไม่พวกนั้นก็ตามผมมาเอง
จิตันดะเดินขึ้นมาข้างผมแล้วถามว่า  “ตกลงคุณคิดอะไรออกกันคะ  บอกเราทีสิ”
ซาโตชิก็ถามจากข้างหลังเช่นกัน  “เธอพูดถูกนะ  เราสองคนไม่ควรมีความลับต่อกันนะ  โฮตาโร่”
หยุดพูดอะไรที่มันน่าสะดิสะเอียนได้แล้ว  ผมพูดโดยไม่หันกลับไปว่า  “ไม่ใช่ความลับซักหน่อย  มันเป็นเรื่องง่ายๆที่ไม่ต้องการคำอธิบายมากมายหรอกน่า”
“มันอาจจะง่ายสำหรับคุณโอเรกิ  แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีล่ะค่ะ”
จิตันดะหน้ามุ่ย...  ถึงอย่างนั้นมันก็น่ารำคาญที่จะมานั่งอธิบาย  และการหลบเลี่ยงไม่ตอบคำถามของเธอก็ทำให้ผมเสียพลังงานโดยใช่เหตุด้วย  ผมกระชับกระป๋าสะพายและสงสัยว่าจุดไหนที่ผมควรจะเริ่มต้น
“ก็ได้  ถ้าฉันบอกว่าเธอถูกขังจากใครบางคนที่ใช้มาสเตอร์คีย์ (กุญแจหลัก) ล่ะ?”
ทั้งที่ผมได้พูดความจริงส่วนหนึ่งไปแล้ว  เสียงของจิตันดะยกระดับเป็นความประหลาดใจ  ดูท่าว่าเราต้องเริ่มอธิบายที่นี่แล้วล่ะ
“เอ๊ะ?  ยังไงกันคะ?”
“ห้องธรณีวิทยาน่ะสร้างไกลจากตัวโรงเรียน  ถ้าใครบางคนจขังเธอไว้ข้างในโดยใข้กุญแจทั่วๆไป  เขาจำเป็นต้องกลับไปที่ห้องพักครูก่อนที่ฉันจะยืมมา  สามนาทีมันสั้นเกินไปที่จะพยายามทำแบบนั้น”
“อ๋อ  ถ้าอย่างงั้นก็ต้องเป็นกุญแจอันอื่นและเนื่องจากเรามีกุญแจสำรองอยู่  ก็จะเหลือตัวเลือกแค่มาสเตอร์คีย์สินะคะ?”
ถูกต้อง  และโดยปกติก็เดาไดอยู่แล้วว่านักเรียนธรรมดาไม่สามารถใช้มาสเตอร์คีย์ได้หรอก
นอกจากนี้ยังมีข้อเท็จจริงบางอย่างอยู่ด้วย
“คุณจิตันดะบอกว่าได้ยินบางอย่างจากชั้นล่างนี่ใช่มั้ย?”
“ค่ะ”
“ถ้าเสียงนั่นมาจากชั้นล่างของชั้นสี่  เธอจะคิดถึงอะไรเป็นอย่างแรก?”
ซาโตชิผู้ชิลตลอดตอบว่า  “เสียงดังจากเพดานชั้นสามงั้นเหรอ?”
“ใช่  และนั่นเป็นผู้ใช้มาสเตอร์คีย์ของเราเอง”
คนเดียวที่จะซ่อมของต่างๆบนเพดานห้องเรียนหลังหมดเลิกเรียนก็มีแค่...
“ฉันทึ่งไปเลยค่ะว่าคุณคิดออกว่าเป็นภารโรง”
จิตันดะพูดขณะพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
คนที่เราเห็นในชั้นสามนั้นเป็นภารโรงผู้ที่บันไดขนาดใหญ่ไว้  ขณะที่เขาออกจากห้อง  เขาวางบันไดไว้ที่พื้นแล้วหยิบกุญแจออกจากกระเป๋า  และหน้าสายตาเรา  เขาเริ่มที่จะล็อกประตูห้องเรียนในชั้นสามทีละห้องๆ  อีกนัยหนึ่งเริ่มแรกเขาปลดล็อกประตูห้องทั้งหมดก่อน  แล้วลงมือทำงานของเขาในห้องเรียน  และเมื่อเสร็จเรียบร้อย  เขาจะกลับมาล็อกพวกมันทั้งหมดอีกรอบ  ถ้ามีใครเกิดเข้าไปตอนที่ประตูยังไม่ได้ล็อก  ก็โชคร้ายสำหรับคนนั้นที่จะถูกขังอยู่ข้างในไว้...  อย่างเช่นจิตันดะคนนี้
อะไรที่ภารโรงทำอยู่ผมไม่รู้หรอก  การเข้าไปในทุกๆห้องและถือบันได้อันเบ้อเริ่มไปด้วย  ก็เป็นไปได้ว่าเขามาเปลี่ยนหลอดไฟในห้องเรียน  หรือบางทีก็มาเช็กความสว่างแสง  สัญญาณเตือนไฟไหม้  หรืออะไรเทือกๆนั้น  อย่างไรสียคำถามของจิตันดะก็ถูกแก้ไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นก็จบกับเรื่องนี้
“เห็นมั้ย?  อย่างที่ผมบอกเลยว่าโฮตาโร่จะคิดออกเองถ้าเขารวมความคิดไว้ด้วยกันน่ะ”
“ใช่เลยค่ะ  ฉันล่ะทึ่งเลย”
ผมไม่เห็นตัวเองจะทึ่งอะไรเลย...  อย่างไรเสียซาโตชิก็เป็นคนบอกผมเรื่องระบบกุญแจเอง  แล้วอีกอย่างจิตันดะก็สังเกตได้ถึงเสียงที่ดังมาจากด้านล่างด้วย  ผมกำลังวางแผนที่จะทำเป็นใบ้ต่อ... โอ้  ให้ตาย  พวกนั้นสามารถคาดคั้นสิ่งที่ต้องการจากตัวผมได้  อย่างไรก็ตามผมคงถูกสร้างมาเพื่อวิ่งเข้าไปหาปัญหา  แต่เมื่อมองไปที่จิตันดะและเห็นประกายความชื่นชมในแววตานั่น  ผมเลยกล้ำกลืนความไม่พอใจที่ผมอาจจะมีลงไป
“อืม  เอาเถอะ  ทั้งที่เธออยู่อาคารเรียนเงียบๆ  ฉันล่ะไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงไม่ยินเสียงล็อคประตู”
ถึงกระนั้นจิตันดะก็ไม่ได้ชมเชยหรือถากถางอะไรอีก เธอเพียงยิ้มเท่านั้น
“อ๋อ ฉันอธิบายได้ค่ะ คือฉัน... ค่ะ ฉันกำลังมองอาคารนั่นอยู่น่ะค่ะ”
เธอพูดและชี้ตรงไปที่อาคารใกล้ๆถนน  เป็นโรงฝึกศิลปะการต่อสู้ทำจากไม้ดูโกโรโกโสตามสภาพกาลเวลาอันยาวนาน  ผมละสายตาจากอาคารนั่นและบอกความเห็นของผมไปตามตรง  “อย่างกับเธอโดนเจ้านั่นสะกดจิตงั้นแหละ”
“เปล่าค่ะ  ฉันแค่รู้สึกว่าโรงฝึกนั่นค่อนข้างดูลึกลับน่ะค่ะ”
“หืม”
ผมไม่เห็นว่าโรงฝึกนั่นจะลึกลับตรงไหน  แต่ดูเหมือนซาโตชิจะรู้เรื่องบางอย่างขณะที่เขากำลังพึมพำอยู่  “อืม  มันดูเก่ามากจริงๆแหละ”
“ค่ะ”
“งั้นเหรอ?  ก็อาจจะ  ถึงกระนั้นสำหรับเธอที่ใจลอยไปหาโรงฝึกเก่าคร่ำครึนั่น  ผมไม่มีความคิดใดๆว่าเธอแค่หลงใหลหรือแค่มองเฉยๆกันแน่
หลังจากนั้นไม่นาน  เรามาถึงแยกไฟแดง  มีนักเรียนคนอื่นๆที่เพิ่งจะกลับบ้านแบบพวกเราอยู่ด้วยเช่นกัน
“จริงสิคะ  เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยสินะคะ”
จิตันดะเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“แนะนำตัว?”
“ค่ะ  ก็ยังไงชมรมวรรณกรรมก็จะเริ่มตั้งแต่นี้เป็นต้นไป  ต่อไปคงมีเรื่องสนุกมาอีกเยอะเลยนะคะ”
ชมรมวรรณกรรม!  ผมลืมเรื่องนั้นไปเรียบร้อยแล้ว!  ผมแค่ไปเพื่อดูห้องชมรม  แต่มันก็เปล่าประโยชน์เมื่อจิตันดะได้สมัครชมรมด้วย...  แต่เรื่องนั้นก็ทำอะไรในตอนนี้ไม่ได้แล้ว  ผมส่งใบสมัครและได้รับการยืนยันไปเรียบร้อยแล้ว  ในโรงเรียนนี้น่ะ  เป็นไปไม่ได้ที่จะออกจากชมรมถ้าอยู่ไม่ครบหนึ่งเดือน
ขณะที่ผมก้มศรีษะลง  จิตันดะหันกลับไปยิ้มให้กับซาโตชิ
“คุณฟุคะเบะก็จะเข้าชมรมด้วยใช่มั้ยคะ?”
ซาโตชิยกมือขึ้นกอดอกและทำท่าใช้ความคิด  แต่ก็ตอบมาอย่างรวดเร็ว่า  “อื้ม  น่าสนใจดี  เอาสิ  ผมเอาด้วยคน”
“คุณฟุคุเบะต้องสนุกแน่นอนค่ะ”
“ไม่หรอกๆ  ผมน่ะสนุกอยู่ตลอดแหละ... ฝากตัวด้วยนะ  โฮตาโร่”
ผมเหลือบมองซาโตชิผู้ตัดสินใจแสดงเป็นเจ้าที่มต่อไป
ขณะที่สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว  ผมเริ่มออกเดินและเอามือใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง  ผมสัมผัสจดหมายในนั้น  มันเป็นจดหมายจากพี่สาวผม  ความจริงแล้วตั้งแต่จดหมายของโอเรกิ  โทโมเอะมาถึงนั้น  ผมก็รู้สึกแล้วล่ะว่าต้องมีบางอย่างเปลี่ยนไป
ตอนนี้พี่เป็นสุขแล้วสินะ?  ชมรมวรรณกรรม สถานที่วัยสาวของพี่มีสมาชิกใหม่ด้วยกันสามคนแล้ว  ชมรมวรรณกรรมคลาสสิกอันเก่าแก่ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้วล่ะ  นี่อาจเป็นการลาก่อนวันแห่งการประหยัดแรงอันแสนสุขของฉัน  ส่วนสาเหตุน่ะเหรอ...
“อ๊ะ  จริงสิคะ เรายังไม่ได้เลือกประธานชมรมเลยนี่นา  เอายังไงดีคะ?”
“นั่นสินะ  แต่ว่านะโฮตาโร่น่ะไม่เหมาะกับคนที่จะมาเป็นประธานสุดๆเลยด้วย”
เจ้าพวกนี้คงไม่ยอมให้ผมออมแรงต่อไปแน่  ถ้ามีแค่ซาโตชิคนเดียวล่ะก็  ผมยังสามารถจัดการได้อยู่บ้าง  แต่ปัญหาสำคัญมันอยู่ที่..
ดวงตาของเราสบกัน  จิตันดะ  เอรุแย้มรอยยิ้มพร้อมกับดวงตากลมโตของเธอ
ปัญหาอยู่ที่คุณหนูคนนี้นี่แหละ  ผมแค่รู้สึกอย่างนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น